“ธาริต”สั่งยุติสอบ "ยิ่งลักษณ์" เบิกความเท็จ-ปกปิดถือหุ้นชิน อ้างไม่ครบองค์ประกอบความผิด เพราะรายงานตามทะเบียนของตาดหลักทรัพย์
วันนี้ (29 มี.ค.) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ พร้อมด้วย พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ ผบ.สำนักคดีการเงินการธนาคารดีเอสไอ แถลงผลการตรวจสอบตามคำร้องของนายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และนายวิรัตน์ กัลยาศิริ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและเร่งรัดการดำเนินคดีอาญากับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ นายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร 2 ข้อหาคือร่วมกันแจ้งพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหือเอกสารราชการ (แจ้งข้อความเท็จ) ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานและน่าจะเกิดความเสียหายต่อผู้อื่นหรือประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 267 และฐานร่วมกันแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น ซึ่งควรจะแจ้งในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนในสาระสำคัญ (ปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น) ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์มาตรา 278 โดยอ้างว่าคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ส่งข้อเท็จจริงพร้อมพยานหลักฐานที่ได้จากการตรวจสอบกรณีการปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นในบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด มหาชน มายังดีเอสไอเพื่อให้ดำเนินการตามสมควรต่อไป
นายธาริต กล่าวด้วยว่า ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของสำนักคดีการเงินการธนาคารพบว่า กรณีแจ้งเท็จนั้นในขณะเกิดเหตุคือปี 2545 – 2547 พ.ร.บ.หลักทรัพย์ ยังไม่มีบทบัญญัติว่าเลขาก.ล.ต.เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาแม้ภายหลังจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายดังกล่าว โดยกำหนดให้เลขาก.ล.ต. กรรมการก.ล.ต.และกรรมการกำกับตลาดทุนเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 2551แต่เรื่องดังกล่าวก.ล.ต. เคยมีหนังสือชี้แจงไปยังรมว.คลังแล้วว่าในช่วงเกิดเหตุยังไม่มีบทบัญญัติใดกำหนดให้มีการชี้แจงต่อเลขาก.ล.ต. เป็นความผิดตามกฎหมายต่อเจ้าพนักงาน ขณะนั้นเลขาก.ล.ต.จึงยังไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ดีเอสไอจึงเห็นว่าการกระทำไม่ครบองค์ประกอบความผิด จึงถือว่าไม่เป็นความผิด
นายธาริต กล่าวต่อว่า ส่วนในประเด็นปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น เป็นหน้าที่ของบริษัทชินฯ เป็นผู้จัดทำและข้อมูลที่ใช้รายงานก็มาจากบริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ของประเทศซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ รวมทั้งบริษัท ชินฯซึ่งตรวจสอบข้อมูลแล้วพบว่ารายชื่อในขณะนี้เป็นรายชื่อที่ถูกต้องตรงกัน จึงไม่ได้เป็นรายงานอันเป็นเท็จหรือมีการปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น ไม่ได้ทำให้ผู้ใดเข้าใจผิดหรือมีความเสี่ยง เพราะในรายงานโครงสร้างผู้ถือหุ้นใช้คำว่า ครอบครัวชินวัตรและผู้เกี่ยวข้องหรือกลุ่มครอบครัวชินวัตรและครอบครัวดามาพงศ์ ซึ่งเข้าใจได้ว่าผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นใคร นอกจากนี้ยังไม่พบว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทา มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดทำรายงาน เพราะถือเป็นหน้าที่ของบริษัท ยกเว้นนายบรรณพจน์ ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะเป็นผู้ลงนามรับรองรายงาน ในฐานะเป็นกรรมการผู้มีอำนาจ
นายธาริต กล่าวอีกว่า จากการพิจารณาคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพบว่า คำพิพากษาดังกล่าวเพิ่งจะเกิดขึ้นภายหลังมีการขายหุ้นไปหมดแล้ว และไม่ปรากฎว่ามีผู้ใดได้รับความเสี่ยง ประกอบกับคำพิพากษาเป็นการตัดสินคดีเกี่ยวกับทรัพย์สิน ไม่ใช่คดีอาญา ดังนั้น ไม่ถือเป็นสาระสำคัญให้เกิดความเข้าใจผิดต่อลงทุน จึงมีคำสั่งให้ยุติเรื่อง เพราะไม่พบการกระทำความผิด
“การสั่งยุติเป็นการทำตามพยานหลักฐานข้อเท็จจริง ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง ไม่มีใครมาครอบงำหรือสั่งและเพื่อให้เกิดความโปร่งใส จึงได้ทำหนังสือแจ้งให้นายกรณ์กับสำนักนายกรัฐมนตรีให้ทราบเรื่องแล้ว” นายธาริตกล่าว
ส่วนเรื่องที่นายแก้วสรร อติโพธิ และ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ร้องว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เบิกความเท็จนั้น ขอเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพว่า หากมีผู้ทะเลาะกันแล้วนำคดีขึ้นฟ้องศาลแล้วจำเลยแพ้คดี ถูกศาลลงโทษจำคุก ไม่ได้หมายความว่า พยานจำเลยทั้ง 10 ปาก จะมีโทษฐานเบิกความเท็จหรือต้องติดคุกไปด้วย เพราะศาลจะตัดสินลงโทษตามดุลยพินิจในการชั่งน้ำหนักพยานจะเป็นความผิดหรือไม่ต้องพิจารณาจากองค์ประกอบที่เป็นสาระสำคัญเท่านั้น
ส่วนกรณีศาลฎีกาตัดสินว่าการถือหุ้นแทน นายธาริต ชี้แจงว่า เป็นคนละส่วนกัน ศาลตัดสินถูกต้องแล้ว แต่เป็นการตัดสินให้ดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สิน โดยการยึดหรือริบเทรัพย์เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนคดีปกปิดโครงสร้างเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อถามว่าคำพิพากษาของศาลตัดสินเชื่อว่า มีการถือครองหุ้นแทนกัน นายธาริตกล่าวว่า ศาลไม่ได้เชื่อว่ามีการปกปิดโครงสร้าง แต่เชื่อว่าเป็นการถือแทนคนอื่น โดยเป็นการถือแทนโดยบุคคลในครอบครัวชินวัตรและดามาพงศ์ ซึ่งกรณีดังกล่าวทำให้ฝ่ายค้านเชื่อว่ามีการปกปิด แต่สำหรับ ดีเอสไอ เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่า ไม่มีการปกปิดเพราะรายงานตามทะเบียนของตาดหลักทรัพย์
แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th