วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2555

ธรณีพิโรธเขย่าชิลีสะเทือน 7.1 ริกเตอร์


วันนี้ (26 มี.ค.) สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาของสหรัฐรายงานว่า เกิดแผ่นดินไหวระดับรุนแรงวัดได้ 7.1 ริกเตอร์เมื่อวันอาทิตย์ตามเวลาท้องถิ่น ส่งผลให้ประชาชนแตกตื่นในพื้นที่ที่เคยมีแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อ 2 ปีก่อน แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายงานการเสียชีวิตหรือความเสียหายใดๆ
โดยแผ่นดินไหวครั้งล่าสุดเกิดขึ้นห่างจากเมืองทัลก้าในภูมิภาคมูเล ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราว 32 กิโลเมตร ซึ่งภูมิภาคดังกล่าวเคยประสบภัยแผ่นดินไหวรุนแรงระดับ 8.8 ริกเตอร์เมื่อปลายเดือน ก.พ. ปี 2553 ส่งผลให้ประชาชนหลายร้อยคนแตกตื่นวิ่งออกสู่ถนนในเมืองทัลก้า ช่วงเกิดแผ่นดินไหวราวเกือบหนึ่งนาที  
สื่อชิลีรายงานว่า ไฟฟ้าดับและโทรศัพท์ใช้การไม่ได้ในบริเวณเมืองทัลก้า ที่อยู่ห่างจากกรุงซานติเอโก้ไปทางใต้ราว 300 กิโลเมตร แต่อาคารสูงต่างๆในเมืองหลวงชิลีสั่นไหว สร้างความหวาดผวาให้แก่ประชาชนที่จับจ่ายสินค้าตามห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และสนามกีฬาในช่วงกำลังมีการแข่งขันฟุตบอล อย่างไรก็ตาม มีรายงานคนบาดเจ็บจากเศษดินหินที่ร่วงลงมาจากภายในโบสถ์คาทอลิก
นอกจากนี้ ทางการชิลีสั่งให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ตามริมชายฝั่งทางตอนกลางของประเทศอพยพไปยังที่สูง อันเป็นมาตรการป้องกันไว้ก่อน เนื่องจากอาจเกิดคลื่นยักษ์สึนามิ ภายหลังแผ่นดินไหว 7.1 ริกเตอร์   ทั้งนี้ สำนักงานฉุกเฉินของทางการชิลีเคยถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงมาแล้ว เพราะไม่ออกคำเตือนสึนามิ หลังแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อปี 2553 ทำให้คลื่นยักษ์โหมเข้าซัดเมืองและหมู่บ้านชายฝั่งหลายแห่ง เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก.

แหล่งที่มาของข้อมูล www.dailynews.co.th     

“วิรุฬ”ลุยโครงการปล่อยกู้ซื้อบ้านไม่ใช้สลิปเงินเดือน


เมื่อวันที่ 23 มี.ค. นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รมช.คลัง ในฐานะกำกับดูแลสถาบันการเงินของรัฐ เห็นชอบตามนโยบายของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ที่ให้ศึกษาเรื่องการดำเนินโครงการปล่อยกู้ให้ผู้มีอาชีพอิสระ สามารถกู้เงินซื้อที่อยู่อาศัยได้โดยไม่ต้องมีสลิปเงินเดือน โดยจะมอบหมายให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐเพียงแห่งเดียวที่รับผิดชอบทำโครงการนี้         
“ที่ผ่านมาธอส.ได้หารือกับ สศค. และได้ข้อสรุปเบื้องต้นแล้ว และพร้อมที่จะเตรียมตั้งวงเงินในการปล่อยสินเชื่อในโครงการนี้ไม่น้อยกว่า 12,000 ล้านบาท ส่วนแนวทางและเงื่อนไขในการดำเนินโครงการนั้น กำลังหารืออยู่ ยืนยันว่าจะหาทางพิจารณาเรื่องหลักประกันเพื่อป้องกันความเสี่ยง ส่วนดอกเบี้ยนั้น จะไม่คิดแบบลูกค้าปกติหรือเป็นโครงการดอกเบี้ยพิเศษ เพราะถือเป็นกลุ่มที่เสี่ยง โดยอาจจะคิดดอกเบี้ยเอ็มอาร์อาร์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 7.250% แบบมีส่วนลด ทั้งนี้ ธนาคารยืนยันว่าจะดำเนินโครงการโดยไม่กระทบต่อฐานะการคลังและจะไม่ขอเงินชดเชยจากรัฐบาล”
 
ทั้งนี้ จะกำหนดวงเงินกู้ต่อราย ซึ่งอาจจะดูจากที่มาของรายได้ว่าจะปล่อยกู้ได้เท่าไร เพื่อป้องกันความเสี่ยง ในหลักการเรื่องนี้ นายกิตติรัตน์เห็นชอบแล้ว แต่ต้องทำรายละเอียดเพื่อให้พิจารณาก่อนนำเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเร็ว ๆ นี้
 

แหล่งที่มาของข้อมูล www.dailynews.co.th     

ททท.จับมือกูเกิล ทำกูเกิล สตรีท วิว 3 จังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ


ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เปิดเผยว่า ททท. ได้จับมือกับกูเกิล เปิดตัวบริการแผนที่ในมุมมองภาคพื้น หรือกูเกิล สตรีท วิว ในไทย เพื่ออำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติที่ต้องการใช้แผนที่ประกอบการเดินทาง มองเห็นภาพสถานที่ต่างๆ ได้เสมือนขับรถจริงอยู่ เพราะภาพในกูเกิล สตรีท วิว เป็นภาพระดับท้องถนน 360 องศา ซึ่งไทยถือเป็นประเทศที่ 35 ในโลกที่มีบริการนี้ เบื้องต้นได้จัดทำกูเกิล สตรีท วิว ใน 3 จังหวัดท่องเที่ยวสำคัญของไทยก่อน ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต และเชียงใหม่ คาดว่าหลังจากเปิดตัวไปแล้ว จะสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการมาเที่ยวในไทยมากขึ้น 

นายเคอิ คาวาอิ, ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายผลิตภัณฑ์สตรีทวิว จากสำนักงานใหญ่ของกูเกิล ที่เมืองเมาเทนวิว แคลิฟอร์เนีย กล่าวว่า สาเหตุที่ขยายบริการสตรีทวิวให้ครอบคลุมประเทศไทย เพราะเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับความนิยมของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

แหล่งที่มาของข้อมูล www.dailynews.co.th     

โพลล์ชี้คนไทยวิตกปัญหาเศรษฐกิจปากท้องมากกว่าการเมือง


วันนี้ ( 25 มี.ค.) ดร.นพดล  กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ  เรื่อง "สถานการณ์การเมืองไทย ปัญหาปากท้อง ค่าครองชีพของคน กทม."โดยศึกษาตัวอย่างประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปในเขต กทม. จำนวนทั้งสิ้น 2,245 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 20-24 มี.ค.ผลการสำรวจพบว่า  ประชาชนมีความรู้สึกก้ำกึ่งกันหรือร้อยละ 50.8 ต่อร้อยละ 49.2  ที่เชื่อมั่นต่อสถานการณ์การเมืองของประเทศไทย ว่าจะสามารถเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยได้ โดยถือว่าความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ที่น่าพิจารณาคือ ร้อยละ 50.0 วิตกกังวลเรื่องปัญหาเศรษฐกิจและปากท้อง ค่าครองชีพมากกว่าปัญหาขัดแย้งทางการเมือง ในขณะที่ร้อยละ 12.9 วิตกกังวลเรื่องปัญหาขัดแย้งทางการเมืองมากกว่า และร้อยละ 32.4 วิตกกังวลทั้งสองเรื่อง มีเพียงร้อยละ 4.7 ที่ไม่วิตกกังวลทั้งสองเรื่อง

สำหรับปัญหาเดือดร้อนที่ประชาชนประสบในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 88.7 ระบุราคาสินค้าสูงขึ้น  ร้อยละ 82.8 ราคาน้ำมัน ร้อยละ 56.9 ระบุรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย ร้อยละ 45.3 ระบุภัยธรรมชาติ ร้อยละ 43.1 ระบุปัญหายาเสพติด ร้อยละ 31.5 ปัญหาความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ร้อยละ 22.8 ระบุไม่ได้รับความเป็นธรรม ร้อยละ 18.4 ระบุปัญหาถูกเลิกจ้าง ว่างงาน และร้อยละ 13.1 ระบุเงินกู้นอกระบบ

ผลสำรวจยังพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 82.1 หาซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นประจำที่ตลาดสด ตลาดนัด ร้อยละ 52.2 ระบุห้างสรรพสินค้า ร้อยละ 51.1 ระบุซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้อยละ 50.7 จากร้านโชว์ห่วยในหมู่บ้าน ชุมชน ที่น่าเป็นห่วงคือมีเพียงร้อยละ 10.2 เท่านั้นที่ซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้า ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับปัญหาที่ประชาชนประสบในการซื้อสินค้าช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 82.4 ระบุราคาสินค้าสูงเกินไป นอกจากนี้ เกินครึ่งหรือร้อยละ 55.0 ระบุสินค้าขาดตลาด ไม่มีจำหน่าย และร้อยละ 39.3 ระบุสินค้าไม่มีคุณภาพ เป็นต้น นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 65.4 เคยโทรร้องเรียนเรื่องราคาสินค้ากับสายด่วนของ กรมการค้าภายใน 1569 ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 60.6 ของคนที่เคยโทรร้องเรียนระบุว่า ราคายังสูงเหมือนเดิม ไม่มีการแก้ไขช่วยเหลือใดๆ ในขณะที่ เกือบ 1 ใน 4 หรือร้อยละ 24.2 ระบุราคากลับเพิ่มสูงขึ้น และร้อยละ 15.2 เท่านั้นที่ระบุราคาลดลง

แหล่งที่มาของข้อมูล www.dailynews.co.th     

ยิ่งลักษณ์ชวนเกาหลีใต้เพิ่มการลงทุนในไทย



วันนี้ (26 มี.ค.) ที่โรงแรมล็อตเต้ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวสุนทรพจน์ในงานสัมมนา " Unbeatable Thailand Unparalleled Opportunitiesb: Business Environment and Investment Policies" ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นการลงทุนต่อนักลงทุนชาวเกาหลี และใช้เป็นเวทีหารือทางธุรกิจระหว่างนักธุรกิจไทย-เกาหลีใต้  เพิ่มปริมาณการค้าระหว่าง 2 ประเทศและลดอุปสรรคทางการค้าการลงทุน โดยมีผู้เข้าร่วมงานเป็นภาคเอกชนบริษัทชั้นนำและอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของเกาหลี เช่น ซัมซุง  แอลจี ฮุนได เควอเตอร์ เข้าร่วมรับฟัง พร้อมร่วมงานรับประทานอาหารกลางวันภาคธุรกิจไทย-เกาหลีใต้

น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวสุนทรพจน์ว่า ที่ผ่านมาไทยและสาธารณรัฐเกาหลีมีการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและธุรกิจที่แข็งแรง โดยมี 500 บริษัทของเกาหลีที่ดำเนินธุรกิจการค้าและการลงทุนในไทย ซึ่งในปี 54 มีมูลค่าการค้าระหว่างกันสูงถึง 15.1 พันล้านวอน ขณะที่การลงทุนเพิ่มขึ้น 51%  การท่องเที่ยวมีนักท่องเที่ยวเกาหลีเข้าไทยกว่า 1 ล้านคน ส่วนนักท่องเที่ยวไทยเข้าเกาหลี 310,000 คน จึงจำเป็นต้องเร่งผลักดันการขยายตัวทางการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวให้เติบโตต่อเนื่อง ส่วนปัญหาอุทกภัยที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้มีการลงทุนเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท เพื่อป้องกันอุทกภัยช่วงฤดูฝนปีนี้ โดยมีการปรับอัตราการกักเก็บน้ำเพื่อให้เขื่อนเก็บน้ำได้มากขึ้นช่วงหน้าฝน ป้องกันเขตอุตสาหกรรมที่มีแนวกันน้ำรอบๆนิคมอุตสาหกรรม พร้อมจัดตั้ง ศูนย์สั่งการเดียว หรือ ซิงเกิล คอมมานด์ เข้ามาเสริมการทำงานแบบวันสตอปเซอร์วิส ในการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็ว และมีระบบการพยากรณ์ การเตือนภัย เชื่อมโยงข้อมูลเข้าด้วยกัน จึงมั่นใจว่าประเทศไทยไม่ประสบปัญหาน้ำท่วมรุนแรงเหมือนที่ผ่านมา

น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวต่อว่า เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว หลังประสบภัยหาอุทกภัย เนื่องจากการส่งออกแข็งแกร่ง การใช้จ่ายโครงการบริหารจัดการน้ำ และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยคาดว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโต 5.5 - 6.5% อีกทั้งด้วยสถานะทางการเงินการคลังที่แข็งแรง จะเป็นปัจจัยให้รัฐบาลสามารถขยายการลงทุนได้ สำหรับการดึงดูดการลงทุนต่างชาติได้ออกมาตรการช่วยเรื่องการลงทุนง่ายขึ้น ทั้งการลดภาษีรายได้ของบริษัทเหลือ 20% ในปี 56 และส่งเสริมให้มีการจัดตั้งสำนักงานภูมิภาคในไทย ที่สำคัญไทยจะมีการลงทุนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ระยะเวลา 5 ปี ลงทุน 72,000  ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อให้ไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ หรือ ศูนย์กลางสินค้า ผลิตภัณฑ์ในการเชื่อมโยงเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในการดึงการลงทุนเข้าประเทศ

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เชิญชวนนักลงทุนเกาหลีใต้มาลงทุนในไทยเกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่ช่วยเพิ่มมูลค่า เช่น ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์และไฟฟ้า  รถยนต์และอะไหล่  พลังงานทางเลือก และเกษตรแปรรูป พร้อมย้ำว่า ความเป็นหุ่นส่วนระหว่าง 2 ประเทศจะพัฒนามากขึ้น และภาคเอกชนเกาหลีใต้จะเป็นหลักสำคัญของความเป็นหุ้นส่วนนี้ ขอให้มีความเชื่อมั่นในประเทศไท

แหล่งที่มาของข้อมูล www.dailynews.co.th     

"เฉลิม"เสนอเรื่องซูโดอีเฟดรีนเป็นคดีพิเศษ


วันนี้ (26 มี.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล  ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า การประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษวันนี้ จะนำกรณีของยาซูโดอีเฟดรีนที่ใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติดเข้าสู่การพิจารณาเป็นคดีพิเศษเพื่อให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ดำเนินการสอบสวน ซึ่งเหมาะสมกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีความสัมพันธ์คุ้นเคยกับแพทย์ ขณะที่การลักลอบค้าสารซูโดอีเฟดรีนเป็นขบวนการใหญ่ ซึ่งทางการสามารถติดตามมาอย่างต่อเนื่องจนสามารถจับกุมผู้ลักลอบได้ ทั้งนี้ยังไม่ทราบว่าคดีขยายผลไปถึงใคร หรือระดับใด แต่ส่วนตัวรู้สึกดีใจที่ตนกำหนดยุทธศาสตร์ปราบปรามยาเสพติด ทั้งการสกัดการขนส่งตามแนวชายแดน และสกัดกั้นสารตั้งต้นที่จะนำมาผลิตยาทำให้การแก้ปัญหายาเสพติดได้ผลดี อย่างไรก็ตามยังมีสารตัวอื่นที่ถูกผลิตเป็นยาใช้ตามโรงพยาบาล ได้ถูกนำมาเป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติดเช่นกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)จะทำการสอบสวนด้วย.

แหล่งที่มาของข้อมูล www.dailynews.co.th     

"ปู"ปิ๊งไอเดียจัดการน้ำเอาอย่างเกาหลีใต้


วันนี้ ( 25 มี.ค.) ที่กรุงโซล ประเทศสาธารณรัฐเกาหลี  น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากการเดินทางเยือนสาธารณรัฐเกาหลีอย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งเยี่ยมชมศูนย์ควบคุมอุทกภัยแม่น้ำฮัน กรุงโซล และเยี่ยมชมฝายอิโป เมืองยอจู จังหวัดคยองกี และได้รับฟังบรรยายสรุปการบริหารจัดการน้ำของเกาหลี มีความใกล้เคียงกับเมืองไทย โดยเฉพาะปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้ง โดยเกาหลีใต้มีแม่น้ำใหญ่ 4 สาย จึงได้เชื่อมโยงแม่น้ำทั้งหมดด้วยการสร้างฝายอิโป แล้วใช้ศูนย์กลางการควบคุมในการวิเคราะห์ข้อมูลสถานการณ์และการเตือนภัย ซึ่งตรงกับสิ่งที่ไทยต้องการ ขณะที่ไทยมี 25 ลุ่มน้ำ ที่ต้องเชื่อมแม่น้ำสายหลักประมาณ 4 - 8 ลุ่มน้ำ ด้วยการใช้ระบบสั่งการจากจุดเดียว ในการรวมข้อมูลเป็นระบบเดียวกันทั้งหมด โดยจะใช้เทคโนโลยีหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นดาวเทียมและอินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะต้องมีนักวิเคราะห์ที่ชำนาญการเตือนภัย  ส่วนการก่อสร้างเขื่อนหรือฝาย ตนมองว่าไทยต้องมีการพัฒนาพื้นที่โดยรอบให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมีทัศนียภาพที่สวยงาม เพื่อให้ประชาชนเกิดการยอมรับ เช่นเดียวกับเกาหลีใต้ที่สร้างการยอมรับจากประชาชนด้วยการทำความเข้าใจกับประชาชนถึงผลดีที่จะเกิดขึ้น ซึ่งฝายอิโปสามารถชะลอความแรงของน้ำลดการท่วมขังแล้วยังสามารถนำไปใช้ด้านการเกษรกรรมและผลิตไฟฟ้าป้อนประชาชนได้ ปัจจุบันสามารถผลิตไฟฟ้าส่งเข้าชุมชนประมาณ 58,000 ครัวเรือน

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ส่วนการทำงานของคณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (กนอช.) และคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลน้ำทั้งหมดจากหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้เป็นรูปแบบปัจจุบัน (เรียลไทม์) ซึ่งต้องใช้เวลาพัฒนาระบบควบคุมหลายปีเหมือนกับเกาหลีจึงจะเห็นภาพชัดเจนขึ้น เบื้องต้นจากการดูงานเรื่องน้ำในเกาหลีร่วมกับ กยน. มีหลายอย่างที่อาจดึงมาปรับใช้กับระบบการบริหารจัดน้ำของไทย แต่จำเป็นต้องมีการศึกษาเทคโนโลยีและดูงานในประเทศอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อให้ได้แนวทางที่เหมาะสมกับไทยมากที่สุดในระยะยาว แต่ล่าสุดนี้ต้องวางแผนรับมือปริมาณน้ำฤดูฝนปีนี้ก่อนในการประเมินปริมาณน้ำทุ่ง น้ำทะเล น้ำฝน มารวบรวมแล้ววิเคราะห์ปริมาณน้ำ เพื่อแจ้งเตือนประชาชนล่วงหน้า

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ไทยยังไม่มีศูนย์เฉพาะถาวรการบริหารจัดการน้ำ แต่คณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (กนอช.) และคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ที่จัดตั้งขึ้นจะเป็นหน่วยงานถาวรในอนาคต ที่มีการรวมหน่วยงานและข้อมูลต่างๆ มาทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้ทันฤดูฝนปีนี้ โดยเฉพาะการก่อสร้างต่างๆ ที่จะมีการคงของเดิมไว้แล้วผสมผสานของใหม่เข้าไป พร้อมเปิดรับฟังข้อเสนอแนะจากประเทศต่างๆ และภาคเอกชนของไทย เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและมีประสิทธิภาพ

แหล่งที่มาของข้อมูล www.dailynews.co.th     

โฆษกศาลยัน "แม้ว"ไม่เคยโผล่คุยผู้พิพากษาช่วยเสื้อแดง


วันนี้ ( 25 มี.ค.) นายสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โฟนอินถึงกลุ่มคนเสื้อแดง ที่จ.สุรินทร์เมื่อวันที่ 24 มี.ค.ตอนหนึ่งว่า ได้ประสานกับผู้พิพากษาเรื่องการประกันตัวคดีของคนเสื้อแดงไว้แล้วและหากไม่มีเงินประกันจะช่วยออกให้ ว่า ตนไม่ได้ฟังข้อความทั้งหมด แต่เท่าที่ติดตามข่าวจากสื่อ พ.ต.ท.ทักษิณอาจพูดเชิงการเมืองให้คนรู้สึกคล้อยตาม แต่ความจริงคือ ไม่เคยมีการประสาน เพราะศาลไม่ต่อสายคุยกับการเมือง และการเมืองไม่เคยต่อสายคุยกับศาล ไม่ว่าจะเป็น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หรือใครก็ตาม การประกันเป็นเรื่องเฉพาะคดี เฉพาะคน และแต่คดีก็มีองค์คณะผู้พิพากษารับผิดชอบ ไม่มีที่จะไปพูดคุยกับผู้พิพากษาคนหนึ่งแล้วจะไปคุมคดีอื่นได้ 100 สำนวน การประสานที่พูดถึงจึงเป็นไปไม่ได้  การทำงานผู้พิพากษาเราทำตามคำถวายสัตย์ปฏิญาณที่จะปฏิบัติหน้าที่ภายใต้พระปรมาภิไธย โดยอำนวยความยุติธรรมที่ปราศจากอคติ ขณะที่ผ่านมาประธานศาลฎีกา ซึ่งเป็นประมุขตุลาการ 1 ใน 3 อำนาจอธิปไตยไม่เคยให้นโยบายใดๆเรื่องนี้ที่จะไปก้าวก่ายการบริหารคดีของผู้พิพากษาที่จะทำให้ถูกสั่งซ้ายหัน ขวาหันได้ แต่ประธานศาลฎีกาให้เรายึดมั่นอุดมการณ์ในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเที่ยงธรรม ไม่มีอคติ

เมื่อถามว่า คำพูดของพ.ต.ท.ทักษิณ นั้นจะเป็นการดูหมิ่นผู้พิพากษา ศาลยุติธรรมและจะต้องมีการดำเนินการทางกฎหมายหรือไม่ นายสิทธิศักดิ์  กล่าวว่า ตนไม่อยากฟันธงว่าคำพูดที่ว่ามีการประสานผู้พิพากษาผิดหรือไม่ ซึ่งศาลไม่ได้ต้องการเป็นคู่ความคดีใดกับใคร แต่เราก็ติดตามสถานการณ์โดยตลอด ถ้าหากมีการพูดอะไรที่เจตนาทำให้องค์กรศาลยุติธรรมเสียหายถูกลดความน่าเชื่อถือ เปรียบเหมือนหากมีคนเอาระเบิดเพลิงมาปาใส่บ้านเรา อย่างนั้นก็จะต้องมีการดำเนินการ โดยเริ่มจากมาตรการอ่อนสุดคือการชี้แจง ทำความเข้าใจ ไปจนถึงเข้มสุดคือการดำเนินคดี ส่วนที่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ควรต้องมาชี้แจงให้ชัดเจนใช่หรือไม่นั้น เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณผูกเรื่องนี้แล้วก็ต้องเรียนแก้เอง เพราะไม่รู้ว่าการประสานที่พูดหมายถึงอะไร ไปพูดกับใคร แต่ถ้าจะเป็นการประสานคดียืนยันว่าไม่มี ซึ่งคดีของเสื้อเหลือง เสืิอแดงก็มีทั้งสองฝ่ายที่ฟ้องต่อศาล  ขณะที่คดีของท่านก็มีทั้งที่ศาลตัดสินและยังค้างอยู่ในศาล ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตจึงแสดงให้เห็น ว่าปัจจุบันเป็นอย่างไร

แหล่งที่มาของข้อมูล www.dailynews.co.th     

“มาร์ค”ทำจม.เปิดผนึกฉบับที่3ร้องพระปกเกล้าถอนผลวิจัย


วันนี้ ( 25 มี.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า  ตนได้ทำจดหมายเปิดผนึกฉบับที่ 3 ในเรื่องกระบวนการสร้างความปรองดอง เพราะตนมองว่าขณะนี้กระบวนการสร้างความปรองดองเดินทางมาถึงจุดที่เรียกว่าแขวนอยู่บนเส้นด้าย เนื่องจากกำลังมีการหยิบร่างงานวิจัยฉบับย่อเรื่องการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ไปบิดเบือนเพื่อเป็นประโยชน์แก่คนบางกลุ่ม และจะใช้เสียงข้างมากมาทำเรื่องนี้ ซึ่งจะนำไปสู่ความขัดแย้งและการสร้างความปรองดองจะเดินไปไม่ได้ ตนได้เห็นร่างรายงานของคณะกรรมาธิการ(กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง ที่หยิบยกร่างงานวิจัยฉบับนี้มาสรุปเป็นข้อเสนอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการ โดยมุ่งเน้นการนิรโทษกรรมทุกคดี รวมถึงการล้มคดีของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) และไม่ให้มีการนำมาพิจารณาใหม่ ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของคณะผู้วิจัย  ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พูดถึงเรื่องนี้ในลักษณะรับลูกสั้นๆว่าจะให้เรื่องนี้ยุติในเวทีสภาผู้แทนราษฎร แสดงให้เห็นว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้ติดตามข้อเสนอของคณะผู้วิจัย ถือเป็นการโยนความรับผิดชอบให้พ้นตัว จึงขอให้นายกฯต้องอ่านรายงานและฟังที่ผู้วิจัยชี้แจง ก่อนที่รวบรัดตัดตอนว่าเป็นเรื่องของสภาฯ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า จดหมายของตนจึงมีข้อเรียกร้องไปถึง 3 ฝ่าย คือ 1.ฝ่ายคณะผู้วิจัยซึ่งตนขอให้ถอนรายงานผลวิจัย  2.ฝ่ายคณะกรรมการสภาสถาบันพระปกเกล้า ต้องประชุมเพื่อกำหนดท่าทีที่ชัดเจนโดยเร็ว และ 3.พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ในฐานะประธาน กมธ.ปรองดอง ที่ไม่ยอมให้มีการประชุมกมธ.อีก และปล่อยให้คนไม่กี่คนเขียนรายงานของกมธ. ซึ่งอาจจะรู้กันเฉพาะพล.อ.สนธิ กับนายชวลิต จะทำให้เกิดการบิดเบือนงานของคณะผู้วิจัย และกลายเป็นกมธ.ปรองดองกำลังสร้างความขัดแย้งรอบใหม่ ตนจึงขอให้เรียกประชุมกมธ.วเพื่อทบทวน
เมื่อถามว่าถ้ามีการนิรโทษกรรมและล้มคดี คตส. จะทำให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กลับมาอย่างเท่ๆตามที่ปราศรัยกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่ จ.สุรินทร์ หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้ามีการล้มคดี ทุกอย่างก็กลับมาได้โดยไม่ต้องรับผิด ส่วนจะเท่หรือไม่นั้น ตนไม่ทราบ เพราะคนที่ถูกศาลตัดสินว่าทำผิดและยังมีคดีที่ค้างคาอีกมาก แต่ไม่พิสูจน์ว่าตัวเองทำผิดหรือไม่ จะเท่ได้อย่างไร และทำไมฝ่ายต่างๆจึงไม่มองให้เห็นว่ามีความพยายามนำคำว่า “ปรองดอง” มาบังหน้าเพื่อแก้ปัญหาให้กับผู้ต้องคดี แต่ไม่ได้ตอบโจทย์ของสังคม
เมื่อถามว่าพ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่ากำลังพูดคุยกับผู้พิพากษาอยู่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยิ่งตอกย้ำว่าขณะนี้เป็นกระบวนการยุติธรรมที่ถูกแทรกแซงได้ ไม่มีความเป็นกลาง และแสดงว่ากระบวนการยุติธรรมในความหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ และพวก คือต้องให้พวกของตัวเองเป็นคนตัดสินเอง  อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่าฝ่ายตุลาการน่าจะทำความเข้าใจกับสังคมในเรื่องการทำงานในระบบตุลาการ อย่าให้ประชาชนเข้าใจในทางที่ผิด มิฉะนั้น ต่อไปนี้เท่ากับว่าถ้าใครไม่พอใจคำตัดสินของฝ่ายตุลาการ แต่มีอิทธิฤทธิ์ในทางการเมืองจะด้วยวิธีใดก็มาล้มล้างได้ ใครมีอำนาจก็สามารถเขียนได้กำหนดได้ว่าใครถูกใครผิด ซึ่งมันไม่ใช่ประชาธิปไตย.

แหล่งที่มาของข้อมูล www.dailynews.co.th     

" บิ๊กอ๊อด" ยันผบ.เหล่าทัพไม่มีแนวคิดตั้งคมช. 2


วันนี้ ( 26 มี.ค.) พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ที่ปรึกษานายกฯฝ่ายความมั่นคง ระบุทหารยังมีการเคลื่อนไหวจะจัดตั้งคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ( คมช. 2) และเตรียมจะทำปฏิวัติรัฐประหารล้มรัฐบาลอีกครั้ง ว่า ตนยังมองไม่เห็นว่าจะมีบรรยากาศ เหตุผล และสถานการณ์อะไรที่จะทำให้เกิดเหตุการณ์ปฏิวัติขึ้น  วันนี้ตนเชื่อมั่นกองทัพอย่างมาก และในฐานะที่เคยเป็นอดีต รมว.กลาโหม มีความใกล้ชิดกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ ทั้ง 4 คน มีความใกล้ชิดทั้งในงานและส่วนตัวทำให้เชื่อว่า สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นในรัฐบาลนี้ นอกจากนั้นตนยังเห็นความร่วมมือจากทุกเหล่าทัพที่ให้กับรัฐบาลอย่างดีมาก ในฐานะที่เป็นพี่น้องพูดคุยกันได้ วันนี้ยังไม่มีสัญญาณอะไร  และไม่มีอะไรที่ทหารขอมาแล้วไม่ได้ ปัญหาการโยกย้ายนายทหารกลางปีก็ไม่มี เพราะเป็นการโยกย้ายเพื่อปรับเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้ผู้ที่ใกล้เกษียณหรือผู้ที่เกษียณได้ยศสูงขึ้นเพื่อตอบแทนคุณงามความดีที่ทำงานให้กับกองทัพ

เมื่อถามว่า ปัจจัยทางการเมืองจากกรณีที่มีการเรียกร้องให้พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช.เปิดเผยเบื้องหลังการทำปฏิวัติ19ก.ย.49 และกระบวนการสร้างความปรองดอง จะเป็นปัจจัยให้เกิดการปฏิวัติล้มรัฐบาลขึ้นได้หรือไม่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า เท่าที่พูดคุยกับกองทัพ ทางทหารยังไม่ได้หารือกันถึงเรื่องนี้  และเรามีแนวทางชัดเจนว่าจะต้องมีการหารือกันอย่างใกล้ชิด และอะไรที่รัฐบาลจะทำ ต้องหารือกับทางทหารด้วย เช่น  การแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้  ที่มี ส.ส.บางคนของพรรคเสนอแนวคิดเรื่องนครรัฐปัตตานีนั้น ทหารไม่สนับสนุนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการจะพูดจาอะไรจะต้องทำความเข้าใจกัน  รัฐบาลกับทหารจะต้องไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ใช่ไปคนละทาง  ทหารฟังนโยบายรัฐบาลอยู่แล้ว

เมื่อถามว่า การที่พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร อดีตนายกฯ พยายามเดินทางกลับเข้าประเทศไทย จะทำให้เกิดปัญหาและเป็นสาเหตุทำให้เกิดการรัฐประหารอีกหรือไม่  พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ฝ่ายทหารไม่ได้พูดคุยและแสดงความคิดเห็นกันถึงเรื่องนี้ ส่วนการที่พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางไปเล่นสงกรานต์ในลาวและกัมพูชาได้มีการประสานงานกันไว้ล่วงหน้าแล้ว  ทีจะมีคนเสื้อแดงและส.ส.พรรคเพื่อไทยจำนวนมากเดินทางไปร่วมรดน้ำดำหัวพ.ต.ท.ทักษิณนั้นถือว่าเป็นเรื่องของการไปเยี่ยมเยียนและเคารพนับถือกันเป็นการส่วนตัว  เป็นความรู้จักของคนที่ผูกพันใกล้ชิดกัน ไม่ได้กระทบกรเทือนต่อความมั่นคงของประเทศแต่อย่างใด และที่นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา ระบุว่าพ.ต.ท.ทักษิณถูกทางการอิตาลีกักตัวในสัปดาห์ที่ผ่านนั้น เป็นเรื่องของการประสานงาน เมื่อตรวจสอบเสร็จแล้วก็ปล่อยตัว เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเล็กทั้งนั้นแต่กลายเป็นเรื่องใหญ่ เท่าที่ตนได้สอบถามนายสุรพงษ์  โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.การต่างประเทศและสำนักข่าวกรองแห่งชาติแล้ว  ไม่มีอะไรเป็นเรื่องใหญ่เป็นการเข้าใจผิดกันเล็กน้อย

แหล่งที่มาของข้อมูล www.dailynews.co.th     

หนุ่มคลั่งยำคนสนิท“มะ โพธิ์งาม”ชิงรถหนี



วันนี้ (26 มี.ค.) เวลา 00.30 น. ร.ต.อ.สมพร พรธานิศกุล ร้อยเวร สภ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี รับแจ้งมีมีคนถูกทำร้ายที่ได้รับบาดเจ็บ ที่บริเวณหน้าร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ “ประเสริฐการช่าง” เลขที่ 56 ถนนราษฎร์อุทิศ เขตเทศบาลเมืองสองพี่น้อง จึงนำกำลังไปตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.อ.เสกสรรค์ นิ่มนวล ผกก. พ.ต.ท.สุภาพ วินิพิฐพงษ์ รอง ผกก.ป. และกำลังสายสืบสายตรวจจำนวนหนึ่ง
ที่เกิดเหตุพบเพียงกองเลือดกองใหญ่ ส่วนคนเจ็บถูกนำส่ง รพ.สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 17 ทราบชื่อนายประเสริฐ วรรณศิริ หรือเสี่ยตุ่น อายุ 59 ปี ผู้สื่อข่าวได้ติดตามไปสอบถามนายประเสริฐ เบื้องต้นเผยว่า คนร้ายที่ก่อเหตุคือ นายจิระ นาคทอง หรือระ อายุ 53 ปี และ นายประวิทย์ นาคทอง หรือเล็ก อายุ 42 ปี น้องชาย ก่อนเกิดเหตุทั้ง 2 คนนำโทรศัพท์มือถือมาเสนอขายให้ในราคา 500 บาท อ้างว่าต้องการนำเงินไปซื้อยาบ้ามาเสพย์ แต่ตนตอบปฏิเสธ ทั้ง 2 คน จึงเปลี่ยนข้อเสนอมาเป็นจำนำเครื่องไว้ในราคา 200 บาท และตนถูกบอกปัดไปอีก ทั้ง 2 คนจึงเกิดโมโห คว้าท่อนเหล็กรุมกระหน่ำตีจนสลบล้มลงกับพื้น จากนั้น 2 คนร้ายได้ชิงรถกระบะโตโยต้า วีโก้ สีเขียว ทะเบียน บม 9886 นครปฐม หลบหนีไป
ต่อมา ร.ต.ต.ณัฏฐากร โพธิ์พระ รอง สวป. นำกำลังออกติดตามคนร้ายไปจนถึงบริเวณซอยโรงน้ำแข็งห่างจุดเกิดเหตุไปเล็กน้อย และคนร้ายเห็นจวนตัว จึงจอดรถยนต์ทิ้งไว้และกระโดดลงไปในคลองสองพี่น้องอาศัยความมืดว่ายน้ำหลบหนีไปได้อย่างหวุดหวิด
สำหรับนายประเสริฐ หรือเสี่ยตุ่น เป็นหัวคะแนน และเป็นคนสนิท พล.ท.มะ โพธิ์งาม อดีต ส.ส.กาญจนบุรี เขต 1 พรรคเพื่อไทย และเป็นผู้สมัครลงสมัครรับเลือกตั้ง นายก อบจ.กาญจนบุรีอีกด้วย

แหล่งที่มาของข้อมูล www.dailynews.co.th     

ยิ่งลักษณ์ชวนเกาหลีใต้เพิ่มการลงทุนในไทย



วันนี้ (26 มี.ค.) ที่โรงแรมล็อตเต้ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวสุนทรพจน์ในงานสัมมนา " Unbeatable Thailand Unparalleled Opportunitiesb: Business Environment and Investment Policies" ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นการลงทุนต่อนักลงทุนชาวเกาหลี และใช้เป็นเวทีหารือทางธุรกิจระหว่างนักธุรกิจไทย-เกาหลีใต้  เพิ่มปริมาณการค้าระหว่าง 2 ประเทศและลดอุปสรรคทางการค้าการลงทุน โดยมีผู้เข้าร่วมงานเป็นภาคเอกชนบริษัทชั้นนำและอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของเกาหลี เช่น ซัมซุง  แอลจี ฮุนได เควอเตอร์ เข้าร่วมรับฟัง พร้อมร่วมงานรับประทานอาหารกลางวันภาคธุรกิจไทย-เกาหลีใต้

น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวสุนทรพจน์ว่า ที่ผ่านมาไทยและสาธารณรัฐเกาหลีมีการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและธุรกิจที่แข็งแรง โดยมี 500 บริษัทของเกาหลีที่ดำเนินธุรกิจการค้าและการลงทุนในไทย ซึ่งในปี 54 มีมูลค่าการค้าระหว่างกันสูงถึง 15.1 พันล้านวอน ขณะที่การลงทุนเพิ่มขึ้น 51%  การท่องเที่ยวมีนักท่องเที่ยวเกาหลีเข้าไทยกว่า 1 ล้านคน ส่วนนักท่องเที่ยวไทยเข้าเกาหลี 310,000 คน จึงจำเป็นต้องเร่งผลักดันการขยายตัวทางการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวให้เติบโตต่อเนื่อง ส่วนปัญหาอุทกภัยที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้มีการลงทุนเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท เพื่อป้องกันอุทกภัยช่วงฤดูฝนปีนี้ โดยมีการปรับอัตราการกักเก็บน้ำเพื่อให้เขื่อนเก็บน้ำได้มากขึ้นช่วงหน้าฝน ป้องกันเขตอุตสาหกรรมที่มีแนวกันน้ำรอบๆนิคมอุตสาหกรรม พร้อมจัดตั้ง ศูนย์สั่งการเดียว หรือ ซิงเกิล คอมมานด์ เข้ามาเสริมการทำงานแบบวันสตอปเซอร์วิส ในการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็ว และมีระบบการพยากรณ์ การเตือนภัย เชื่อมโยงข้อมูลเข้าด้วยกัน จึงมั่นใจว่าประเทศไทยไม่ประสบปัญหาน้ำท่วมรุนแรงเหมือนที่ผ่านมา

น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวต่อว่า เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว หลังประสบภัยหาอุทกภัย เนื่องจากการส่งออกแข็งแกร่ง การใช้จ่ายโครงการบริหารจัดการน้ำ และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยคาดว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโต 5.5 - 6.5% อีกทั้งด้วยสถานะทางการเงินการคลังที่แข็งแรง จะเป็นปัจจัยให้รัฐบาลสามารถขยายการลงทุนได้ สำหรับการดึงดูดการลงทุนต่างชาติได้ออกมาตรการช่วยเรื่องการลงทุนง่ายขึ้น ทั้งการลดภาษีรายได้ของบริษัทเหลือ 20% ในปี 56 และส่งเสริมให้มีการจัดตั้งสำนักงานภูมิภาคในไทย ที่สำคัญไทยจะมีการลงทุนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ระยะเวลา 5 ปี ลงทุน 72,000  ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อให้ไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ หรือ ศูนย์กลางสินค้า ผลิตภัณฑ์ในการเชื่อมโยงเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในการดึงการลงทุนเข้าประเทศ

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เชิญชวนนักลงทุนเกาหลีใต้มาลงทุนในไทยเกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่ช่วยเพิ่มมูลค่า เช่น ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์และไฟฟ้า  รถยนต์และอะไหล่  พลังงานทางเลือก และเกษตรแปรรูป พร้อมย้ำว่า ความเป็นหุ่นส่วนระหว่าง 2 ประเทศจะพัฒนามากขึ้น และภาคเอกชนเกาหลีใต้จะเป็นหลักสำคัญของความเป็นหุ้นส่วนนี้ ขอให้มีความเชื่อมั่นในประเทศไทย

แหล่งที่มาของข้อมูล www.dailynews.co.th