วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2555

สิงโตอ้วก "ปาร์คเกอร์" ส่อถอนอีกคน





สิงโตคำราม" งานเข้าต่อเนื่อง ล่าสุด "ปาร์คเกอร์" ส่อถอนอีกราย หลังเพิ่งเสีย "แลมพาร์ด" คาดถ้าเป็นจริง อาจต้องใช้ "เฮนเดอร์สัน" หรือขยับ "โจนส์" ขึ้นมายืนกลางนัดเปิดสนามกับฝรั่งเศส
รอย ฮ็อดจ์สัน ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ เจอปัญหาปวดหัวสุด ๆ ในการเตรียมทีมเพื่อทำศึกยูโร 2012 โดยล่าสุด สื่อเมืองผู้ดี คาดการณ์ว่า สกอตต์ ปาร์คเกอร์ มิดฟิลด์จาก ทอตแนม ฮอตสเปอร์ อาจจะต้องถอนตัวออกจากทีมไปอีกคน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ แฟรงค์ แลมพาร์ด กองกลางเชลซี และ แกเร็ธ แบร์รี ห้องเครื่อง แมนเชสเตอร์ ซิตี ต้องถอนตัวไปแล้ว เพราะอาการบาดเจ็บ


กรณีของ แบร์รี นั้น บาดเจ็บหนักถึงขั้นกล้ามเนื้อท้องฉีก ทำให้ ฮ็อดจ์สัน ต้องเรียกตัว ฟิล จากีลกา กองหลังจาก เอฟเวอร์ตัน เข้ามาเสียบแทน ส่วน แลมพาร์ด เจ็บต้นขา ทำให้ ปู่รอย จึงต้องเรียก จอร์แดน เฮนเดอร์สัน มิดฟิลด์ดาวรุ่งจาก ลิเวอร์พูล มาแทนที่ แต่ขณะนี้ รายของ ปาร์คเกอร์ นับว่า อาการน่าเป็นห่วงที่สุด เพราะมีปัญหาเจ็บเอ็นร้อยหวายมาตั้งแต่ช่วงปลายฤดูกาลที่แล้ว และมีโอกาสไม่น้อยที่จะต้องถอนตัว


ถ้าหากมิดฟิลด์จากทีมไก่เดือยทอง ต้องถอนตัวไปอีกราย ทำให้คาดว่าทีมสิงโตคำรามอาจต้องส่ง เฮนเดอร์สัน หรือต้องขยับ ฟิล โจนส์ กองหลังจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งยังไม่มีประสบการณ์ในเกมระดับทีมชาติชุดใหญ่มากนักทั้งคู่ ลงเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวจริง ในเกมยูโร 2012 นัดเปิดสนามกับ ฝรั่งเศส ในวันที่ 11 มิ.ย. นี้

"ร็อดเจอร์ส"เปิดตัวคุมหงส์ทางการ





"หงส์แดง" เปิดตัว "ร็อดเจอร์ส" คุมทีมอย่างเป็นทางการ เจ้าตัวเอาหัวเป็นประกัน ขอทำงานหนัก เพื่อนำทีมกลับมายิ่งใหญ่
สโมสรลิเวอร์พูล ประกาศแต่งตั้ง เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือชาวไอร์แลนด์เหนือ ให้เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่อย่างเป็นทางการแล้ว เมื่อวันศุกร์ที่ 1 มิ.ย. ที่ผ่านมา


ลิเวอร์พูล แถลงข่าวที่สนามแอนฟิลด์ว่า ร็อดเจอร์ส วัย 39 ปี จะเข้ามาคุมทีมแทน เคนนี ดัลกลิช ที่ถูกปลดออกจากตำแหน่งไป เมื่อเดือนพ.ค. หลังจากที่ ร็อดเจอร์ส ทำผลงานโดดเด่นกับ "หงส์ขาว" สวอนซี เมื่อฤดูกาลที่แล้ว โดยคาดว่า เขาเซ็นสัญญายาว 3 ปี และ ลิเวอร์พูล ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่ สวอนซี เป็นจำนวนถึง 7 ล้านปอนด์


ร็อดเจอร์ส เผยว่า "ผมรู้สึกภาคภูมิใจมาก มันก็อย่างที่คุณจินตนาการนั่นแหละ ผมเป็นเพียงแค่ผู้จัดการทีมชาวไอร์แลนด์เหนือคนที่ 2 เท่านั้น ในประวัติศาสตร์ของสโมสร ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความยิ่งใหญ่ และผมรู้สึกเหมือนกับได้พรที่มีโอกาสได้มาทำงานกับสโมสรนี้"

ลั่นตั้งเป้าพาทีมกลับมายิ่งใหญ่
นอกจากนั้น กุนซือหนุ่มไฟแรง ยังกล่าวอย่างเชื่อมั่นด้วยว่า จะสามารถนำ ลิเวอร์พูล กลับมาครองความยิ่งใหญ่อีกครั้งได้อย่างแน่นอน และพร้อมจะต่อสู้อย่างเต็มที่โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพันเลยทีเดียว


"ผมสัญญาว่าผมจะต่อสู้เพื่อชีวิตของผม และคนทั้งเมืองนี้ ผมมีแผนการระยะยาว มันสำคัญมากสำหรับผม สโมสรแห่งนี้ไม่ได้แชมป์ลีกมา 20 ปีแล้ว และพวกเขาอาจจะยังไม่พร้อมในตอนนี้ แต่การทำงานได้เริ่มต้นขึ้นแล้วในวันนี้ และวงจรใหม่กำลังจะเกิดขึ้น มันคือเป้าหมายที่เราจะพยายามไปให้ถึงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า"

"ร็อดเจอร์ส"เปิดตัวคุมหงส์ทางการ





"โต๊ะเล็กไทย" สู้เต็มที่ แต่โดน "ยุ่น" ถล่มยับ





“ทัพโต๊ะเล็กไทย” สวมหัวใจสิงห์วิ่งสู้ฟัด แต่พลาดท่าโดน “แข้งซามูไร” ถล่มยับ ในศึก “ฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย” ครั้งที่ 12 ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ ชวดแชมป์เป็นครั้งที่ 2 หลังเคยเข้าชิงมาแล้วเมื่อปี 2008 ส่วน “ญี่ปุ่น” หยิบแชมป์เป็นสมัยที่ 2 ได้สำเร็จ ขณะที่ “อิหร่าน” ไล่ยิง “ออสเตรเลีย” กระจุย คว้าอันดับ 3 มาครอง


   ศึก “เอเอฟซี ฟุตซอล เเชมเปี้ยนชิพ ยูเออี 2012” หรือ “ฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย” ครั้งที่ 12 ที่สนามอัล วาสเซิ่ล ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา รอบชิงชนะเลิศ “ขุนพลโต๊ะเล็กทีมชาติไทย” ที่รอบรองชนะเลิศ ล้มแชมป์ 11 สมัย อิหร่าน มาได้ และเคยเข้าชิงรายการนี้มาแล้ว 1 ครั้ง เมื่อปี 2008 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ แต่พ่ายอิหร่าน ไป 0-4 พบกับ ญี่ปุ่น แชมป์เมื่อปี 2006 ซึ่งก่อนลงฟาดแข้ง นักเตะไทย ได้รับข่าวดี เมื่อ “บังยี” นายวรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ประกาศอัดฉีดให้ทีม 2,000,000 บาท ส่วน นายอุดม โปร่งฟ้า ผู้ช่วยผู้จัดการทีมชาติไทย มอบเงินให้อีก 1,000,000 บาท ทำให้นักเตะชุดนี้ได้รับเงินแน่แล้ว 3,000,000 บาท โดยนัดนี้ไทยส่งผู้เล่น 5 คนแรก ประกอบด้วย สุรพงค์ ทมพา(ผู้รักษาประตู), ก้องหล้า เหล็กกล้า, กฤษดา วงษ์แก้ว, ศุภวุฒิ เถื่อนกลาง และจิรวัฒน์ สอนวิเชียร ลงสนาม

เริ่มเกม “แข้งซามูไร” วิ่งไล่บีบพื้นที่ในแดน “นักเตะไทย” ทำให้เล่นได้ยาก จนนาทีที่ 4 เคนิชิโร่ โคกูเระ มายิงให้ญี่ปุ่นออกนำก่อน 1-0 จากนั้น กฤษดา วงษ์แก้ว ทำชิ่งกับ ศุภวุฒิ เถื่อนกลาง หลุดเข้าไปยกบอลข้ามตัวนายทวารญี่ปุ่นเข้าไป ช่วยตีเสมอให้ไทยได้ 1-1 ในนาทีที่ 10 แต่ 5 นาทีถัดมา วาตารุ คิตาฮาร่า มายิงแปเสียบเสาเข้าไปช่วยให้ “นักเตะแดนปลาดิบ” ขึ้นนำ 2-1 จนจบครึ่งแรก

  เข้าครึ่งหลัง ไทยเริ่มเปิดรุกเพิ่มขึ้น ส่วนญี่ปุ่นหันมาตั้งรับแล้วสวนกลับ จนเกมเริ่มดุเดือนขึ้นเรื่อยๆ และนาทีที่ 27 คิตาฮาร่า พุ่งเสียบ ณัฐวุฒิ หมัดยะลาน อย่างน่าเกลียด ทำให้ผู้ตัดสินควักใบแดงไล่ออกจากสนาม ส่งผลให้ญี่ปุ่นหรือผู้เล่นในสนาม 4 คน 2 นาที โดยช่วงเวลา 2 นาทีนี้ ไทยหาจังหวะยิงได้หลายครั้งแต่ก็ยิงญี่ปุ่นไม่ได้ จนนาทีที่ 31 โคทาโร่ อินาบะ มายิงให้ญี่ปุ่นหนีห่างไป 3-1 ทำให้ไทยต้องเปลี่ยนมาเล่นพาวเวอร์ และมาพลาดเสียการครองบอล ญี่ปุ่นจึงฉวยโอกาสยิงประตูได้อีก 3 ลูก จาก คัทซึโฮชิ เฮนมี่ นาทีที่ 34, ฮิซามิซึ คาวาฮาร่า นาทีที่ 35 และ เทสึยะ มูราคามิ นาทีที่ 37 จบเกมญี่ปุ่น ถล่ม ไทย ไป 6-1 ครองแชมป์เอเชียได้เป็นสมัยที่ 2 ได้สำเร็จ ส่วนคู่ชิงอันดับ 3 อิหร่าน เอาชนะ ออสเตรเลีย ไปได้ 4-0

  หลังจบการแข่งขัน “บิ๊กแป๊ะ” นายถิรชัย วุฒิธรรม ผู้จัดการทีมชาติไทย กล่าวว่า นัดนี้ทุกคนเล่นได้อย่างเต็มที่ ตุถือว่าไทยมีโชคเช่นกันเพราะ ญี่ปุ่น มีโอกาสยิงจ่อๆหลายครั้งแต่ก็ทำไม่ได้ ส่วนนักเตะไทย ที่เป็นดาวรุ่งส่วนใหญ่ ถือว่าทำผลงานได้ทะลุเป้า เพราะก่อนมาแข่งขันตั้งเป้าเพียงเข้ารอบรองชนะเลิศ แต่มาเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ พร้อมกับล้มอิหร่านได้ถือว่าฟอร์มสุดยอดแล้ว จากนี้คงต้องให้ วิคเตอร์ เฮอร์มัน กุนซือของทีมเตรียมทีมชุดนี้ต่อ ร่วมถึงเรียกผู้เล่นรายอื่นมาเสริมทีมเพื่อปรับทีมให้พร้อมก่อนทำศึก “ฟุตซอลชิงแชมป์โลก” ระหว่างวันที่ 1-18 พ.ย.นี้ ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ ต่อไป

“อั้ม” รับเที่ยวฮ่องกงกับ “แอมป์” วอนหยุดคุ้ยเรื่องรัก





เรียกว่ายังถูกจับตามองในเรื่องความรักอยู่ตลอดเวลา สำหรับซุป’ตาร์  ตัวแม่อย่าง อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ ที่ล่าสุดมีข่าวว่าเจ้าตัวไปเที่ยวฮ่องกงกับไฮโซ แอมป์-พิธาน องค์โฆษิต งานนี้สาวอั้มเผยว่าไปด้วยกันจริง ส่วนแอมป์จะเป็นหวานใจตัวจริงหรือเปล่านั้นขออุบไว้ก่อน และขอวอนว่าตอนนี้อย่าเพิ่งมาขุดคุ้ยเรื่องความรักของตัวเอง เพราะถ้าพร้อมเมื่อไหร่เจ้าตัวจะบอกเอง

อั้ม เผยว่า “คุณแอมป์ไปทำงานค่ะ ไปประชุม แล้วอั้มไปกับเพื่อน ๆ อั้มอยู่แล้ว ก็ได้เจอกันอยู่แล้ว ไม่ได้ปิดบังอะไร เป็นเพื่อนกัน” คนจับตามองระหว่างอั้มกับแอมป์ เหมือนว่าเขามาวินที่สุดแล้ว? “เป็นเพื่อนกันมาสักพักแล้ว” คนนี้ใช่หวานใจคนใหม่รึเปล่า? “หวานใจคนใหม่ก็ยังไม่บอกแล้วกันนะคะว่าเป็นใคร แต่มีแล้วค่ะ มีคนคุย ๆ ไม่อยากพูดถึงเรื่องผู้ชายคนอื่นแล้ว อยากจะย้ำอีกทีว่าการที่เราลงรูปแขนกับนาฬิกาผู้ชาย เหมือนที่อั้มเคยพูดไปเป็นการยืนยันกับเราสองคนเท่านั้นเองว่าคือคนนี้ คนนอกอาจจะไม่รู้ว่าลงทำไม ลงก็ไม่เห็น แต่เราต้องการรู้กันสองคนว่าคือคนนี้ แต่เราไม่อยากเปิดเผยตัวค่ะ เอาเป็นว่ามีแล้ว และไม่อยากมีข่าวกับผู้ชายคนอื่นนะ เรามีสิทธิเป็นเพื่อนได้ค่ะ” แอมป์ใช่คนนั้นรึเปล่า? “เดี๋ยวก็ได้รู้ค่ะว่าคนไหนค่ะ” ยังติดอะไรอยู่ถึงยังไม่อยากพูดตอนนี้? “ยังไม่อยากพูด พูดไปแล้วมันก็ไม่ดี รอสักพักนึงแล้วกัน ค่อย ๆ ดูกันไปดีกว่า” หวานใจคนใหม่น่ารักยังไงบ้าง? “ก็ดี เข้ากันได้ดี อยู่กันเงียบ ๆ ดีกว่าเพราะว่าเวลาคนเห็นทั่ว ๆ ไปแล้วจะมีปัญหา อั้มขออยู่แบบเงียบ ๆ ก็มีความสุขดีในช่วงนี้ ไม่ต้องขุดคุ้ยว่าเป็นใครหรอกเนอะ” ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยไหม? “ก็ไปปกติค่ะ คืออั้มไม่ได้ปิดบัง ผู้หญิงไม่จำเป็นว่าจะไปกับผู้ชายไม่ได้ ก็มีเพื่อนผู้ชายเยอะ แต่ก็แค่รู้กันสองคนว่าเราคุยกันอยู่นะ แค่นั้นเองค่ะ” มีข่าวกับแอมป์หวานใจเราโอเคไหม? “ก็ไม่มีปัญหาอะไรนะคะ” หวานใจคนนี้ไปฮ่องกงด้วยกันรึเปล่า? “ไม่พูดถึงเรื่องผู้ชายดีกว่านะ (ยิ้ม)” กลัวคนสับสนไหมว่าเดี๋ยวถูกจับคู่ไฮโซคนโน้นคนนี้เป็นข่าวอีก? “ไม่มี ถ้ามีจริง ๆ จะบอก ตอนนี้มีคุยแล้วค่ะ หลังจากไม่ได้คุยกับใครมานานก็มีความสุขดีตอนนี้”

คนนี้เพื่อน ๆ ไฟเขียวไหม? “ดีค่ะ ๆ อั้มรักใคร เพื่อนก็รักด้วย” แอมป์มีรูปคู่กับตาล-กัญญา ได้ถามถึงเรื่องนี้ไหม? “จริง ๆ ไม่อยากเอาน้องเข้ามาเป็นประเด็น เพราะสงสารเขา ก็เคยรู้จักกันมาเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว ซึ่งนานมากแล้ว ก็ไม่อยากเอาน้องเขามาพาดพิงด้วย เกรงใจเขาด้วย แล้วนักข่าวไปสัมภาษณ์น้องเขาเดี๋ยวเป็นปัญหาอีก เพราะไม่ได้คุยกันมาหลายปีมากแล้วค่ะ” แอมป์ได้ชี้แจงถึงรูปนี้ไหม? “ไม่ค่ะ ไม่ได้ถามอะไร ก็บอกว่ามีข่าวนะ เวลาอั้มมีข่าวกับเขาก็เกรงใจเขา เพราะเอาชื่อเขามาเกี่ยวข้องด้วย” พักหลังมีคนเห็นอั้มไปกับแอมป์บ่อย? “เหรอคะ เป็นคนนี้รึเปล่า” ตกลงเป็นแอมป์ใช่ไหม? “เห็นคนไหนล่ะ (ยิ้ม) จริง ๆ ไปกับเพื่อนผู้ชายเยอะค่ะ ไม่ได้อยากให้สับสน แต่ไม่ต้องการที่จะเปิดเผยตอนนี้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องอยากรู้เรื่องของอั้ม (หัวเราะ) อั้มอยากบอกอะไรอั้มบอกเอง ไม่ได้ว่านะคะ ขอโทษด้วยค่ะ”.

“ชาคริต” จัดฮันนีมูนสุดสวีท เปย์ “วุ้นเส้น” หลักล้าน!





แต่งงานกันปุ๊บก็ควงกันไปฮันนีมูนที่ฝรั่งเศสปั๊บ สำหรับ วุ้นเส้น-วิริฒิพา ภักดีประสงค์ และ ชาคริต แย้มนาม โดยเมื่อวันก่อนทั้งคู่เพิ่งกลับจากฮันนีมูน สาววุ้นก็หน้าตาแช่มชื่น ยอมรับว่าทริปนี้สวีทเพราะไปฮันนีมูน แล้วชาคริตก็ป๋าสุด ๆ ทริปนี้เสียไปเป็นล้าน

วุ้นเส้น กล่าวว่า “สนุกมาก ยังเหนื่อยอยู่เลย เพราะเพิ่งกลับมาแล้วไปทั้งหมด 12 วันค่ะ ไปประเทศเดียวแต่ว่าหลายเมือง เริ่มจากไปเที่ยวดูธรรมชาติก่อน แล้ววันหลัง ๆ ก็มาเที่ยวในเมืองชอปปิง ปารีสเป็นเมืองสุดท้าย จริง ๆ ต้องกลับมาตั้งแต่วันเสาร์แล้ว แต่เครื่องดีเลย์ เขาก็ปล่อยเกาะเราไว้ที่สวิตเซอร์แลนด์ แต่เขาก็รับผิดชอบให้เรานอนที่สวิสคืนหนึ่ง ถือว่าโชคดีได้อยู่สวิสอีกวันหนึ่ง” ทริปนี้สวีทกันขนาดไหน? “พูดไม่ได้ ก็สวีทเพราะว่าเราไปฮันนีมูน แล้วแต่ละที่มันโรแมนติกด้วย พี่คริตแพลนเรื่องร้านอาหาร ซึ่งแต่ละร้านก็อร่อยด้วย พี่คริตเป็นคนเตรียมทุกอย่างหมดเลย” ชาคริตทำเซอร์ไพร้ส์อะไรหรือเปล่า? “เขาก็ซื้อของให้ อายไม่อยากบอกใคร เหมือนว่าเราไปชอปปิงเขาก็มีซื้อกระเป๋า มีสร้อย มีแหวนอะไรแบบนี้” ครั้งนี้ชาคริตเป็นป๋าไหม? “ป๋ามาก (หัวเราะ) แต่เราก็ตอบแทนเขาเหมือนกัน ซื้อรองเท้าให้ค่ะ” เรียกว่างานนี้ช้อปได้กระจาย? “ไม่หรอก บางทีพี่คริตเห็นว่าอันนี้สวย แต่เรารู้สึกว่ามันแพงไป เขาบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่จัดการให้ ซื้อให้หลายอย่าง ก็เกรงใจเขาเหมือนกัน แต่เขาแฮปปี้ที่ได้ซื้อของให้เราค่ะ” หมดไปเยอะไหมครั้งนี้? “เยอะค่ะ แต่บอกไม่ได้ว่าเท่าไหร่ ถามว่าถึงล้านมั้ย ของฝรั่งเศสแพง รวม ๆ ทุกอย่างก็เยอะอยู่แล้ว ก็ประมาณนั้นค่ะ”

มีแพลนที่จะพักอีกเมื่อไหร่? “ไปครั้งนี้พี่คริตคงกระเป๋าเบาไปเยอะ เขาต้องถ่ายละครก่อน ให้ละครปิดกล้องก่อนค่อยไปกันอีกที แล้วก็แพลนกันไว้ว่าปีนี้จะไปญี่ปุ่น พาพ่อแม่ไปด้วย” ไปฮันนีมูนด้วยกันครั้งนี้เปลี่ยนใจมีลูกเลยไหม? “ยังค่ะ คงเป็นปีหน้า เราได้คุยเรื่องนี้กันแล้วเหมือนกัน รู้สึกว่าไปต่างประเทศด้วยกันครั้งนี้ดูจะตื่นเต้นเวลาเห็นเด็กฝรั่งเป็นพิเศษ เขาจะชมตลอด วุ้นก็บอกว่าทำให้ไม่ได้นะแบบเด็กฝรั่ง ถ้าอยากได้ลูกครึ่งทำให้ไม่ได้นะ(หัวเราะ)” แสดงว่าเขาอยากมีลูกแล้ว? “เขาอยากมี แต่เขารู้ว่าเรายังไม่พร้อม รอให้เราเที่ยวให้อิ่มก่อน ขอ 1 ปีแล้วกัน” เรียกว่าตอนนี้ชาคริตเห็นเด็กไม่ได้? “เห็นได้ แต่เขาจะตื่นเต้น เหมือนรู้สึกว่าเขาพร้อมจะเป็นพ่อยังไงก็ไม่รู้ (หัวเราะ) แต่ว่าเดี๋ยวก่อนยังไม่พร้อม ขอมีท้องแบน ๆ ไว้ก่อนค่ะ”.

"เป้ย-ป๊อบ"ฉลองสมรสแย้มพร้อมมีทายาท





"เป้ย-ป๊อป"ฉลองสมรส เล็งหาฤกษ์จดทะเบียน เจ้าบ่าวหวานลั่นจะรักเจ้าสาวคนเดียว แย้มพร้อมมีทายาททันที
เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 2 มิ.ย. ที่โรงแรมพลาซ่า แอทธินี รอยัล เมอริเดียน ได้มีงานฉลองสมรสของคู่บ่าวสาว เป้ย-ปานวาด เหมมณี และ ป๊อบ-นิธิ บุญยรัตกลิน โดยก่อนงานเริ่มเจ้าบ่าวเจ้าสาว ได้เปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวสัมภาษณ์ โดยเจ้าบ่าวอยู่ในชุดทหารเรือเต็มยศ เจ้าสาวอยู่ในชุดเจ้าสาวสีขาวสไตล์คลาสสิค เหมือนเจ้าหญิงในนิยาย ตัดเย็บด้วยผ้าลูกไม้ชั้นดีจากฝรั่งเศส ประดับด้วยเพชรของชวารอฟกี้ ของดีไซเนอร์ วาทิต อิทธิ

เป้ย เปิดเผยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเปี่ยมไปด้วยความสุขถึงความรู้สึกในวันนี้ ว่า วันนี้ตื่นเต้นมาก แต่ก็ดีใจที่สุด ชีวิตครั้งนี้เป็นอะไรที่มีความสุขมาก เพิ่งรู้สึกว่าความสุขที่แท้จริงเป็นอย่างไร มันบรรยายไม่ถูก ส่วนเรื่องจดทะเบียนสมรสนั้นต้องหาวันว่างอีกที ต่อไปก็คงเปลี่ยนเป็นนางแล้วเปลี่ยนนามสกุลด้วย ส่วนเรื่องมีลูกนั้นก็พร้อมแล้ว การมีครอบครัวก็แสดงถึงความเป็นผู้ใหญ่ก็คงปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ แม่พี่ป๊อปก็อยากมีหลานเลย และที่คุณป๊อบจะไปเรียนต่อที่อังกฤษ เป้ยคงต้องไปด้วยอยู่แล้ว แต่ต้องดูเรื่องงานอาจจะไป ๆ กลับ ๆ

ด้าน ป๊อบ เปิดเผยว่า หลังจากที่ใช้ชีวิตคู่ด้วยกันมาสักระยะหนึ่ง ความรู้สึกไม่ได้เปลี่ยนไป เรายังรู้สึกเหมือนตอนเป็นแฟนกัน แต่มีความสุขมากขึ้น ตื่นขึ้นมาแล้วมีคนอยู่ข้าง ๆ ก็รู้สึกดี เป้ยเป็นคนดี สำหรับเรื่องจดทะเบียนสมรสนั้น คงต้องดูวันที่เหมาะสมอีกที ส่วนเรื่องฮันนีมูนนั้นเราไม่ได้ซีเรียส ไปเที่ยวเมื่อไหร่ก็ได้ รอหาจังหวะที่สะดวก ทุกวันนี้เราปรับตัวกันน้อยมาก เพราะเราต่างเป็นตัวของตัวเองตั้งแต่คบกันแล้ว ไม่ต้องปรับอะไรมาก ผมก็ให้สัญญากับเป้ยว่า ผมจะเป็นผู้นำครอบครัวที่ดี จะรักเขาคนเดียว จะพาครอบครัวไปในทางที่ดี ผมประทับใจที่เขาพยายามจะดูแล และแสดงออกว่าเขารักผมส่วนเรื่องการทำงานของเขาผมคงให้สิทธิ์เขาเต็มที่ เพราะรู้ว่าเป็นงานที่เขารัก เขาชอบ ส่วนเรื่ิองลูกนั้นอยากได้ลูกผู้ชาย เพราะสังคมปัจจุบันมันน่ากลัว ผู้ชายน่าจะดูแลตัวเองได้ดีกว่า ขณะที่ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศในงานว่ามีการ์ดคอยดูแลรักษาความปลอดภัยเข้ม.

เด้ง"ผู้การแต้ม"เข้ากรุเซ่นม็อบล้อมสภา





เด้ง "วิชัย สังข์ประไพ" เข้ากรุเซ่นม็อบล้อมสภา เจ้าตัวรับสภาพบอกทุกอย่างเป็นสัจธรรม
เมื่อเวลา 10.15 น. วันที่ 2 มิ.ย. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รรท.ผบช.น.) เดินทางมามอบนโยบายให้กับข้าราชการตำรวจระดับ รอง ผบช.น. ผู้บังคับการ และผู้กำกับการ ทุกโรงพักในเขตพื้นที่นครบาล ภายหลัง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มีคำสั่งแต่งตั้งให้มาปฏิบัติหน้าที่แทน พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. ซึ่งถูกโยกย้ายให้ไปช่วยราชการสำนักงาน ผบ.ตร. เป็นเวลา 30 วัน

พล.ต.ต.คำรณวิทย์ เปิดเผยว่า ไม่รู้สึกกังวลหรือหนักใจที่ต้องมาปฏิบัติหน้าที่แทนในช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมืองในการคัดค้าน พ.ร.บ. ปรองดอง เนื่องจากที่ผ่านมา พล.ต.ท.วินัย ปฏิบัติหน้าที่ได้ดีอยู่แล้วทุกอย่างเป็นไปตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา แม้จะมารักษาราชการแทนเพียง 30 วัน แต่ก็จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด โดยจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งหรือแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจใด ๆ ทั้งสิ้น ในส่วนของสำนักงาน พล.ต.ท.วินัย ก็ทำงานกันตามปกติ ตนจะใช้ห้องประชุมปารุสกวัน 2 เป็นสถานที่ในการทำงาน ส่วนการดูแลความสงบเรียบร้อยการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในวันที่ 5 มิ.ย.นี้ เบื้องต้นจะใช้แผนในการปฏิบัติเดิมที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลกำหนดไว้ โดยจะเน้นการเจรจากับผู้ชุมนุมเป็นหลัก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะเดียวกัน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. ได้เซ็นหนังสือคำสั่งที่ 313/2555 ให้ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ รอง ผบช.น. ดูแลงานด้านยาเสพติดไปปฏิบัติราชการที่สำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากหน้าที่ในตำแหน่งเดิมเป็นเวลา 30 วัน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 2 มิ.ย. เป็นต้นไป ซึ่งคำสั่งโยกย้ายครั้งนี้เกิดขึ้นหลัง พล.ต.ท.วินัย เพิ่งถูกสั่งโยกในลักษณะเดียวกันเพียง 1 วัน โดยคาดว่าเป็นผลพ่วงมาจากการควบคุมการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรที่ล้อมสภาจนบรรดา ส.ส.ไม่สามารถเข้าประชุมได้

ด้าน พล.ต.ต.วิชัย เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวเพียงสั้น ๆ ว่า รับทราบคำสั่งแล้ว ถือว่าพักผ่อน ทุกอย่างเป็นสัจธรรม.

โจรสาวสุดแสบแอบฉกกระเป๋าเมียที่ปรึกษา มท.2





โจรสาวสุดแสบดอดฉกกระเป๋าเมียที่ปรึกษา มท.2 ถึงล็อกเกอร์โยคะดัง รูดทองนับแสน
เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 2 พ.ค.น.ส.ศิวพลอย เลิศหมู่มงคล อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 159/427 คอมมอนเวลคอนโด แขวงบางบำหรุ เขตบางพลัด ภรรยาของ นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ อายุ 50 ที่ปรึกษานายชูชาติ หาญสวัสดิ์ รมช.มหาดไทย เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.เมธี คำวิมล รอง ผกก.สส.สน.บางยี่ขัน ว่าถูกลักทรัพย์ขณะที่เข้ามาใช้บริการเล่นโยคะที่แอ๊บเซอลูทโยคะ ชั้น 14 อาคารบี ทาวเวอร์ ห้างเซ็นทรัลปิ่นเกล้า

น.ส.ศิวพลอย ให้การว่า เล่นโยคะมาหลายปีแล้วโดยช่วงเวลา13.00 น.ได้เข้ามาเล่นโยคะ เมื่อเดินเข้ามาทาทางพนักงานก็ได้ให้กุญแจล็อกเกอร์หมายเลข 62 จากนั้นได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อมาเล่นโยคะและนำกระเป๋าถือแบบผู้หญิงวางไว้ด้านในซึ่งภายในมีประเป๋าสตางค์ 2 ใบโดยใบแรกเป็นแบบพับภายในบัตรเดบิตของธนาคารกรุงไทย บัตรประชาชน และบัตรสำคัญอื่น ส่วนอีกใบเป็นกระเป๋าแบบซิบภายในมีเงินประมาณ 1 หมื่นบาท แต่ไม่ได้ล็อคกุญแจเพราะคิดว่าตู้ล็อกเกอร์นั้นอยู่ใกล้กับพนักงานตอนรับและเล่นที่นี้มานานซึ่งก็ไม่เคยล็อก


ผู้เสียหาย ให้การต่อว่า จากนั้นไปเล่นโยคะเหมือนทุกวัน เวลาประมาณ 16.00 น. จึงเดินกลับเข้ามาเพื่ออาบน้ำ หลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็เดินมาที่ตู้ล็อกเกอร์เพื่อที่จะนำเงินไปชำระ กลับพบว่ากระเป๋าหายไป จึงรีบโทรไปอายัดบัตรทั้งหมดไว้ ซึ่งทางพนักงานของทางธนาคารแจ้งว่าบัตรมีการชำระทองคำที่ร้านทองภายในห้างเซ็นทรัลปิ่นเกล้าถึง 2 ครั้งในเวลาไล่เลี่ยกันรวมเป็นเงิน 127,000 บาท จึงรีบแจ้งความดังกล่าว

จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ประสานขอตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดของทางห้างและร้านทอง พบเบาะแสคนร้ายเป็นหญิงรูปร่างสูงใหญ่ใส่ชุดแซกสีน้ำเงิน สวมแว่นกันแดด สะพายกระเป๋าใบใหญ่สีเหลือง ใส่วิกผมยาวสวมหน้ากากอนามัยและเดินคุยโทรศัพท์ ก่อนเข้าร้านทองจึงถอดหน้ากากอนามัยออก จากนั้นนำบัตรเดบิตและบัตรประชาชนของผู้เสียหายไปยื่นซื้อทองดังกล่าว อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่จะได้สืบสวนติดตามคนร้ายรานนี้มาดำเนินคดีต่อไป

"เพื่อไทย"ประชุมพรรคล่าชื่อถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ




โฆษกพรรคแจง การรับคำร้องไว้พิจารณาเข้าข่ายผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 เพราะผู้ที่ดำเนินการยื่นเรื่องคือพรรคประชาธิปัตย์ เรื่องดังกล่าวต้องให้อัยการสูงสุดดำเนินการพิจารณาก่อนส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ พรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง
เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (3 มิ.ย.) ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญรับ 5 คำร้องเกี่ยวกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้พิจารณาทำให้ต้องชะลอการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 ในวันที่ 5 มิ.ย.ออกไปก่อนนั้น จะส่งผลกระทบต่อพรรคเพื่อไทยหรือไม่ว่า  พรรคเพื่อไทยไม่มีความผิด เพราะการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก รับคำร้องไว้พิจารณานั้นเข้าข่ายผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 อย่างชัดเจน  เพราะผู้ที่ดำเนินการยื่นเรื่องคือพรรคประชาธิปัตย์ เรื่องดังกล่าวต้องให้อัยการสูงสุดดำเนินการพิจารณาก่อนส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ พรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรงรัฐธรรมนูญ ส่วนที่คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก รับคำร้องไว้พิจารณานั้นเข้าข่ายผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 อย่างชัดเจน  เพราะผู้ที่ดำเนินการยื่นเรื่องคือพรรคประชาธิปัตย์ เรื่องดังกล่าวต้องให้อัยการสูงสุดดำเนินการพิจารณาก่อนส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ พรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง

ทั้งนี้การยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรงมีกรณีเดียวคือถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112  ที่อาจยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า บทบัญญัติของกฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ดังนั้นการที่คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกลับมีมติรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณา ดังนั้นอาจเข้าข่ายผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และอาจจะถูกถอดถอนได้ด้วย อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าขณะนี้มีนักวิชาการกำลังดำเนินการล่ารายชื่อแล้ว เนื่องจากเห็นว่าการรับคำร้องของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้เข้าข่ายขัดกฎหมาย

ต่อข้อถามถึงกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เตรียมดำเนินการล่ารายชื่อเพื่อถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั้น นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า ตนคิดว่าเรื่องนี้จะต้องดำเนินการตรวจสอบ เพราะส่วนตัวเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญจะน่าดำเนินการผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญเอง ส่วนท่าทีของพรรคเพื่อไทยนั้น ทางพรรคจะมีการประชุมพรรคในวันที่ 5 มิ.ย.นี้  คาดว่าจะมีการหารือถึงเรื่องดังกล่าวด้วย เนื่องจากทีมกฎหมายของพรรคระว่ากรณีดังกล่าวนี้ผิดรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน และน่าจะเป็นตุลาการภิวัฒน์อีกครั้ง.

“จาตุรนต์” ฉะรัฐประหารโดยตุลาการภิวัฒน์





หนุนปลุกมวลชนต้าน แนะสภาเดินหน้าเปิดประชุม ลงมติแก้ รธน.วาระ 3
ที่โรงแรมอมารี เอเทรียม เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 3 มิ.ย. นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย แถลงว่า ท่ามกลางข่าวลือกองทัพจะก่อการรัฐประหารนั้น ขณะนี้ไม่จำเป็น เพราะจริงๆ แล้วเกิดการรัฐประหารโดยตุลาการภิวัฒน์แล้ว โดยเป็นการเล่นกลทางภาษาไทยอย่างพิสดารมาหักล้างหลักการใหญ่ของรัฐธรรมนูญ

ดังนั้นใครที่คิดต่อต้านควรกระทำได้แล้ว ที่พูดเช่นนี้เพราะสถานการณ์ปัจจุบันเกิดการรวมตัวของกลุ่มการเมืองและพรรคการเมืองเป้าหมายล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยไม่คำนึงถึงกติกาบ้านเมืองหรือข้อบังคับใดๆ ขณะเดียวกันก็มีความร่วมมือกันของฝ่ายตุลาการเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เพียงแต่ครั้งนี้จะมีผลกระทบมากกว่า เพราะตุลาการภิวัฒน์จะเปลี่ยนแปลงเนื้อหารัฐธรรมนูญ สกัดกั้นประชาชนที่จะเข้าชื่อขอแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยผ่านกลไกรัฐสภาในอนาคต ปิดช่องทางทางสังคมที่จะแก้ไขปัญหาความแตกแยกโดยกระบวนการตามวิถีประชาธิปไตย


นายจาตุรนต์ กล่าวว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญรับไต่สวน และมีคำสั่งชะลอเรียกประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อลงมติร่างรัฐธรรมนูญ วาระ 3 ถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 เสียเอง ทั้งเรื่องขั้นตอนที่ให้อัยการสูงสุดต้องส่งคำร้อง และเรื่องของการรองรับอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติในการออกข้อกฎหมายและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจแม้แต่วินิจฉัย เว้นแต่กรณีที่เป็นพระราชบัญญัติ นอกจากนี้ศาลรัฐธรรมนูญยังละเมิดหลักการแบ่งแยกอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งเท่ากับเป็นการยึดอำนาจไปจากประชาชน


“ศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจนอกเหนือรัฐธรรมนูญ ล้มกระบวนการเช่นนี้ เท่ากับผลักประเทศเข้าสู่วิกฤตครั้งใหญ่กว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ล่อแหลมสู่การเผชิญหน้า ผมเสนอว่าวิธีการคัดค้านเฉพาะหน้าสิ่งแรก รัฐสภาต้องไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญไม่มีผลผูกพันองค์กรอื่น ดังนั้นต้องเดินหน้าเปิดประชุมรัฐสภาเพื่อลงมติในวาระ 3 และ ส.ส.ซึ่งเป็นผู้เสนอร่างแก้ไขรวมถึงองค์กรที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ส่งคำชี้แจง ควรปฏิเสธคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญด้วย และผมเห็นด้วยที่ประชาชนจะเข้าชื่อยื่นถอดถอนตุลาการ เนื่องจากกระทำการขัดรัฐธรรมนูญเสียเอง” นายจาตุรนต์ กล่าว


เมื่อถามว่าหากในกรณีที่ประธานรัฐสภาเรียกประชุมลงมติวาระ 3 แต่ ส.ส.กลัวความผิด ไม่กล้าเข้าประชุมลงมติ นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ก็อาจเป็นไปได้ที่ ส.ส.บางคนเกิดความกลัวอำนาจศาล แต่ที่ทำอยู่นี้ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจลงโทษใคร แต่ถ้าสุดท้ายศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการล้มล้างประชาธิปไตย และลงโทษสั่งยุบพรรค ถ้าทำอย่างนั้นก็ไปกันใหญ่ แสดงว่าเราอยู่ภายใต้ความกลัวของอำนาจที่มิชอบ


ผู้สื่อข่าวถามว่าได้รับสิทธิทางการเมืองคืนแล้ว จะร่วมลงชื่อถอดถอนด้วยหรือไม่ นายจาตุรนต์ กล่าวว่า วันนี้เป็นการมายุยง ส่งเสริมและปลุกระดมมวลชนเพื่อให้ไปดำเนินการใช้สิทธิ ส่วนตัวจะลงชื่อด้วยหรือไม่ขอดูก่อน เพราะเกรงว่าจะถูกนำไปบิดเบือน  อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นความพยายามที่จะยึดอำนาจของประชาชนจากชนชั้นกลาง เพียงเพราะต้องการรักษาอำนาจในมือของตัวเองซึ่งเป็นคนส่วนน้อยของประเทศเอาไว้ แสดงให้เห็นถึงความไม่พยายามปรองดองและเป็นความเห็นแก่ตัวของกลุ่มคนเหล่านี้

"วสันต์" ปัดรับงาน-ยันรับพิจารณาร่าง "รธน." ตามอำนาจ





“วสันต์” ระบุตุลาการศาลรธน. รับพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ขณะที่“บุญส่ง” ท้ายื่นถอดถอนทำได้ ถือเป็นสิทธิ์
เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับ 5 คำร้องกรณีขอให้วินิจฉัยว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีผลเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญ 50 อันเป็นการกระทำเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศ โดยวิธีการที่มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญไว้พิจารณาวินิจฉัย ว่า ไม่ใช่เพราะมีเจตนาที่จะขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เนื่องจากมีผู้มาร้องขอให้ศาลดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ซึ่งศาลก็ต้องไต่สวนให้ได้ข้อเท็จจริงว่าการยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองฯ ตามที่มีการกล่าวหาหรือไม่ หากการให้ข้อเท็จจริงทำให้ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า การดำเนินการยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของผู้ถูกร้อง ยังไม่มีพฤติการณ์ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ศาลก็ยกคำร้อง


“แม้ขณะนี้ยังไม่มีการยกร่างกันเป็นรายมาตรา และถ้าจะอ้างว่าผู้ที่ยกร่างก็เป็นส.ส.ร.ไม่ใช่สมาชิกรัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือ พรรคการเมือง แต่คนเหล่านี้คือผู้ที่จะต้องให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญที่ส.ส.ร.เป็นผู้ยกร่าง จึงถือได้ว่าเป็นอำนาจสุดท้ายในการดำเนินการ  อีกทั้งหากส.ส.ร.ทำผิดหลักการขึ้นมาจะทำกันอย่างไร ดังนั้นศาลจึงอยากที่จะรู้ว่า คนเหล่านี้ มีความคิดในเรื่องรูปแบบของการปกครองอย่างไร เช่น ถ้าบอกว่าจะไม่แตะสถาบัน แต่ทำไมถึงไม่ยกเว้นในหมวด 1 หมวด 2 ไว้ อย่างนี้มันต้องชัดเจน และต้องให้ความมั่นใจกับประชาชน และผู้ที่ร้องมา เชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ก็อยากจะรู้เช่นกัน ซึ่งผู้ที่จะมาชี้แจงในชั้นไต่สวนก็เหมือนกับการให้สัญญาประชาคมกับสังคมและผู้ร้อง ว่า ถ้าหากส.ส.ร.ยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ออกมาไม่เป็นไปตามที่ชี้แจงในชั้นไต่สวน คนเหล่านี้ก็จะไม่ยกมือรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ถ้าเขาแถลงอย่างหนึ่ง แต่พอถึงเวลา กลับทำอีกอย่างหนึ่งประชาชนจะได้รู้ว่าใครโกหก ซึ่งเหมือนกับเป็นสัญญาลูกผู้ชาย สัญญาลูกผู้หญิง และเพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจว่า การแก้รัฐธรรมนูญจะไม่เลยเถิดเราต้องตรวจสอบตรงนี้ก่อน ทั้งนี้เพื่อเป็นการถ่วงดุลย์”  ประธานศาลรธน. กล่าว


นายวสันต์ ยังกล่าวอีกว่า การรับพิจารณาคำร้องดังกล่าว ไม่ถือว่าศาลเข้าไปแทรกแซงฝ่ายบริหาร หรือไปแทรกแทรงฝ่ายนิติบัญญัติ  แต่เป็นการดำเนินการตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 68 ที่ให้อำนาจเอาไว้  ถือเป็นการถ่วงดุลในการตรวจสอบ ไม่ใช่เป็นการใช้อำนาจเข้าไปก้าวล่วงไปกำกับรัฐสภา จึงควรมองในทางบวก ว่าการที่ศาลรับคำร้องและมีการไต่สวน เพื่อทำให้ลดความตรึงเครียด และความหวาดระแวงของสังคมที่มีต่อรัฐบาล และรัฐสภาลงได้ อีกทั้งเป็นผลดีทั้งรัฐบาลและรัฐสภาด้วยซ้ำที่จะได้ใช้โอกาสนี้ในการชี้แจงและสร้างความมั่นใจให้กับสังคมได้ ถ้าพวกเขาแสดงความบริสุทธิ์ใจออกมาว่าไม่มีพฤติการณ์ตามที่เขาสงสัยมาก็จบ ก็เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย  และเรื่องนีก็ไม่เกี่ยวกับร่างพ.ร.บ.ปรองดอง ซึ่งคนละเรื่องกันอย่าเอามารวมกัน


เมื่อถามว่า ความรวดเร็วในการรับพิจารณาคำร้องดังกล่าว อีกทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญยังอยู่ในชั้นของการยกร่างอาจทำให้ศาลรัฐธรรมนูญถูกมองว่า ไปรับงานใครมาหรือไม่ นายวสันต์ กล่าวว่า  หมายถึง ใครถ้าหมายถึงพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี จำได้ว่า เคยพูดกันครั้งเดียว ขนาดไปงานพระราชพิธี เจอและนั่งใกล้กันยังไม่เคยหันหน้าไปพูดกันเลย เพราะไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว และเห็นว่าขณะนี้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ กำลังจะผ่านวาระ 3 ซึ่งในเนื้อหาค่อนข้างที่จะชัดเจนแล้วว่าอะไรเป็นอะไร รวมทั้งหากพ้นจากวาระ 3 ไปแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถไปดำเนินการใดๆ ได้แล้ว หรือแม้แต่เมื่อส.ส.ร.ยกร่างเสร็จแล้วเป็นร่างรัฐธรรมนูญ กฎหมายไม่ได้ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญไปวินิจฉัย


“ศาลรัฐธรรมนูญจะอยู่หรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่เราสนใจ และไม่ใช่ประเด็นที่ผู้ร้องเขาร้องมา แต่ประเด็นอยู่ที่ก่อนการดำเนินการต่อไปต้องชัดเจนก่อนว่ามีการซ่อนรูปแบบการปกครองบางอย่างเอาไว้หรือไม่ และจะเป็นการเอามาใช้แทนรูปแบบการปกครองในปัจจุบันหรือไม่  ซึ่งเป็นเรื่องไม่ดีหรือที่ประชาชนจะได้รับทราบพร้อมๆ กันในระหว่างที่ศาลไต่สวน ก่อนที่จะมีการแก้ไขต่อไป และอย่าลืมว่ารัฐธรรมนูญปี 50 นั้นก็ได้ผ่านการทำประชามติมา ก็ถือได้ว่ามาจากประชาชน เพราะฉะนั้นจะเป็นไรไปถ้าหากให้ประชาชนได้ทราบก่อนว่าการแก้ไขจะเป็นอย่างไรไม่ใช่หรือ ศาลไม่ได้ห้ามไม่ให้แก้รัฐธรรมนูญเสียเมื่อไหร่  ”นายวสันต์  กล่าว


ทางด้านนายบุญส่ง กุลบุปผา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงกรณที่มีนักวิชาการออกมาแสดงความเห็นว่าการทำหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเกินขอบเขต ใช้อำนาจก้าวก่ายฝ่ายนิติบัญญัติและการออกคำสั่งดังกล่าวนั้นเข้าลักษณะที่อาจถูกถอดถอนได้ ว่า กรณีดังกล่าวเมื่อมีผู้ร้องมาเราก็ดำเนินการพิจารณาและก่อนที่จะลงมติก็ได้มีการพิจารณากันอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าสมควรที่จะดำเนินการเช่นนั้น จึงมีหนังสือไปยังเลขาธิการสภา แจ้งต่อประธานสภา และสมาชิก ทราบว่าศาลได้มีคำสั่งให้ชะลอการลงมติในวาระที่ 3 ไว้ก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมา  ซึ่งคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร ตุลาการฯก็ได้มีการพิจารณากันแล้วว่า การสั่งให้ชะลอการลงมติก็ไม่มีผลอะไร ที่จะก่อให้เกิดความเสียหาย ช้าหน่อย เพื่อความชัดเจนก็เห็นว่าไม่น่าจะเป็นอะไร  เแต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญบอกไปแล้วไม่ฟังหากเกิดเรื่องขึ้นมาสภาก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ


“เมื่อมีคนร้องขึ้นมาว่า การแก้รัฐธรรมนูญนั้นมันผิดหลักการ เป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญที่มีอยู่ ซึ่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องมาพิจารณาว่า จริงหรือไม่ ไม่ได้เป็นการไปขั้ดขวางไม่ให้แก้รัฐธรรมนูญแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการอย่างทราบความชัดเจนในการดำเนินการว่าผิดหลักการตามที่ผู้ร้องร้องมาหรือไม่ หากไม่มีคนร้องศาลก็ทำไม่ได้ ดังนั้นการดำเนินการออกคำสั่งไปนั้นเป็นการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ซึ่งก็ได้ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญไว้ชัดเจน ส่วนใครเห็นว่าเราทำเกินอำนาจหน้าที่อยากจะถอดถอนก็ไม่ได้ว่าอะไร และรัฐธรรมนูญก็ให้สิทธิ์ไว้ก็ดำเนินการไปตามขั้นตอนไป อีกทั้งที่เห็นว่าเป็นการก้าวก่ายก็เป็นเพียวความเห็นของนักวิชาการ หรือใครก็มีความเห็นได้ ไม่ได้ว่าอะไร และขอยืนยันว่าเราดำเนินการตามรัฐธรรมนูญที่ให้ไว้” นายบุญส่ง กล่าว


ขึ้นป้ายไล่"หมอวรงค์"ทำคนพิษณุโลกอับอาย





ชาวบ้านจอดรถถ่ายรูปจำนวนมาก คาดเป็นฝีมือกลุ่มการเมืองขั้วตรงข้ามกับพรรคประชาธิปัตย์
เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 3 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบริเวณสะพานลอยห้าแยกโคกมะตูม หน้าโรงเรียนวัดศรีวิสุทธาราม ถนนพิชัยสงคราม  อ.เมือง จ.พิษณุโลก ได้มีป้ายลึกลับสีแดงขนาดกว้าง 60 เซนติเมตร ยาวประมาณ 3 เมตร แขวนปิดไว้ โดยพื้นที่ป้ายมีข้อความเขียนขับไล่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ นอกจากนี้ยังมีรูปภาพเหตุการณ์ชุลมุนวิวาทภายในรัฐสภา จำนวน 6 รูป  เชื่อว่าเป็นฝีมือกลุ่มการเมืองขั้วตรงข้ามกับพรรคประชาธิปัตย์ ที่นำป้ายมาติดขับไล่ นพ.วรงค์  

โดยป้ายที่นำมาแขวนไว้ สร้างความประหลาดใจและสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนที่ชื่นชอบและรักนพ.วรงค์ อยากขึ้นไปปลดป้ายออกแต่ก็ไม่กล้า เพราะกลัวถูกตำรวจจับ ขณะที่ร้านค้าบริเวณใกล้เคียงบอกว่า คนที่นำป้ายมาติดไว้น่าจะลงมือช่วงกลางคืน เนื่องจากออกมาเปิดร้านค้าขายช่วง 04.00 น. ก็เห็นป้ายนี้แล้ว เมื่อผู้ผ่านไปมาเห็นป้ายก็จอดรถถ่ายรูปจำนวนมาก


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในปี 2555 มีการใช้ป้ายเขียนข้อความต่าง ๆ แสดงออกทางการเมืองในจ.พิษณุโลก หลายครั้งหลายครา โดยมากจะติดตามสะพานลอยคนข้ามถนน สะพานสูง ถนนมิตรภาพ อาทิ ป้ายแพงทั้งแผ่นดินของพรรคประชาธิปัตย์ หรือ ป้ายที่ไม่สามารถระบุที่มาที่ไปของผู้ติดตั้งได้ ที่ติดบริเวณสะพานสูง เขียนโจมตีส.ส.ในสภา

ฆ่าเหี้ยมหนุ่ม "ตัดหู-จมูก"เหล็กแหลมเสียบหัวโยนทะเล





แก๊งค้ายาสุดอำมหิต เห็นหนุ่มแอบมารู้เห็นพฤติกรรม เลยจับเฉือนจมูก-ตัดใบหู-เหล็กแทงศีรษะสยอง
เมื่อเวลา 11.00 น. วันนี้ (3 มิ.ย.) พ.ต.ท.ประกอบ บุญขวัญ สวส.สภ.ท่าฉัตรชัย อ.ถลาง จ.ภูเก็ต รับแจ้งมีพบศพลอยน้ำถูกคลื่นซัดขึ้นมาเกยหาด บริเวณหาดในยาง หมู่ 1 ต.สาคู รุดไปตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.อ.วีรวัฒน์ จันทร์วิจิตร ผกก. เจ้าหน้าที่มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต และ อาสาสมัครจุดบ้านคอเอน ที่เกิดเหตุบริเวณบนหาดทรายพบศพผู้เสียชีวิตเป็นชายวัยฉกรรจ์ไม่ทราบชื่อ อายุระหว่าง 33-40 ปี นุ่งกางเกงในสีดำตัวเดียว ไม่มีเอกสารติดตัว  สภาพศพโดนตัดที่จมูก ใบหูซ้ายขวาทั้ง 2 ข้าง และกลางศีรษะโดนคล้ายเหล็กแหลมเจาะเป็นรูลึก คาดเสียชีวิตมาไม่ต่ำกว่า 5 ชั่วโมง จากการสอบถามชาวบ้านในละแวกที่เกิดเหตุ ต่างระบุตรงกันไม่เคยเห็นหน้าหรือรู้จักผู้ตายมาก่อน

เบื้องต้นตำรวจสันนิฐานว่า ผู้ตายน่าจะไปได้ยินหรือรู้เห็นของแก๊งค้ายาบ้า และโดนคนร้ายไม่ต่ำกว่า 4 คนจับตัวทรมานด้วยการตัดใบหู-จมูกก่อนเอาเหล็กแหลมแทงเข้ากลางศีรษะ จากนั้นนำโยนทิ้งทะเลเพื่อให้เป็นอาหารปลา จนศพลอยมาเกยชายหาดดังกล่าว หากใครสงสัยเป็นญาติให้มาติดต่อได้ที่ สภ.ท่าฉัตรชัยตลอดเวลา.