ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สระบุรี กรมหม่อนไหมดำเนินการเลี้ยงอนุรักษ์และพัฒนาพันธุ์ไหมไทยลูกผสมจนได้คู่ผสมพันธุ์ไหมลูกผสมที่เหมาะสม จำนวน 2 สายพันธุ์ จากนั้นได้ดำเนินการเลี้ยงทดสอบและผลิตไข่ไหมให้เกษตรกรเลี้ยงเพื่อเป็นการทดสอบในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ นครราชสีมา ร้อยเอ็ด มหาสารคาม ศรีสะเกษ ฉะเชิงเทรา อุทัยธานี และจันทบุรี ภายใต้กิจกรรมอนุรักษ์และขยายพันธุ์หม่อนไหม ซึ่งผลการทดสอบเลี้ยงไหมในภาคเกษตรกรพบว่าได้ผลดีในระดับที่น่าพอใจ โดยเฉพาะเกษตรกรจังหวัดชัยภูมิ พึงพอใจมากต่อการเลี้ยงไหม สีของเส้นไหม และปริมาณเส้นไหมที่ได้รับ จึงเป็นพันธุ์ไหมที่มีความเหมาะสมที่จะส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยงต่อไป
สำหรับพันธุ์ไหมไทยลูกผสมทั้ง 2 สายพันธุ์ ได้แก่ 1. ไหมไทยลูกผสมพันธุ์เหลืองไพโรจน์ ซึ่งเกิดจากการนำไหมญี่ปุ่นพันธุ์ J108 ผสมกับไหมไทยแท้ “พันธุ์นางลาย” และตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่อธิบดีกรมหม่อนไหมคนแรก คือ นายไพโรจน์ ลิ้มจำรูญ 2. ไหมพันธุ์ลูกผสมรังสีเหลืองพันธุ์กำพล 1เกิดจากการนำไหมญี่ปุ่นพันธุ์ J108 ผสมกับไหมยุโรปพันธุ์ S27 และตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ นายกำพล วงศ์ตรีเนตรกุล ผู้บริจาคพ่อ-แม่พันธุ์ให้กับกรมหม่อนไหม จากการศึกษาวิจัยเปรียบเทียบไหมพันธุ์ลูกผสมในแต่ ละกลุ่มทั้งด้านความแข็งแรง ผลผลิตรังไหม และคุณภาพรังไหม พบว่า…ไหมไทยพันธุ์เหลืองไพโรจน์ เหมาะสมที่จะนำไปส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยง เนื่องจาก เลี้ยงง่าย มีความแข็งแรง ให้ผลผลิตรังที่ดี และรังมีคุณภาพ เมื่อเปรียบเทียบกับไหมพันธุ์ที่เกษตรกรนิยมเลี้ยง คือ พันธุ์ดอกบัว โดยรังไหม 1 รัง ได้เส้นไหมยาวประมาณ 700–800 เมตร ดังนั้นจึงเป็นพันธุ์ไหม ที่เหมาะส่งเสริมให้นำไปใช้ได้ระดับหัตถอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมได้
สำหรับ ไหมพันธุ์ลูกผสมรังสีเหลือง พันธุ์กำพล 1 เป็นพันธุ์ไหมที่มีความแข็งแรง ให้ผลผลิตรังที่ดี สาวง่าย มีคุณภาพสูงมาก โดยรังไหม 1 รัง ได้เส้นไหมยาวประมาณ 1,100 เมตร จึงเหมาะสมที่จะนำไปส่งเสริมให้กับเกษตรกรที่เลี้ยงไหมเชิงอุตสาหกรรม
จากความสำเร็จในการปรับปรุงพันธุ์ไหมจนทำให้ได้พันธุ์เหลืองไพโรจน์ และพันธุ์กำพล 1 กรมหม่อนไหมเชื่อมั่นว่าจะสามารถทำให้อุตสาหกรรมไหมไทยมีความเจริญก้าวหน้าอย่างเป็นระบบและมั่นคง ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคงและมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น.
แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น