ถ้าเอ่ยชื่อ “พุฒิพงศ์ ศรีวัฒน์” หลายคนอาจจะทำหน้าแบบเออเร่อ เพราะชื่อไม่คุ้นหู แต่ถ้าบอกว่าเขาคือ “ลีโอ พุฒ” ทุกคนต้องร้องอ๋อ.. หลังจากที่สละโสดไปใช้ชีวิตคู่กับภรรยาคนสวย “จันทร์พิมพ์ ราชวังเมือง” จนมีลูกชายด้วยกันชื่อ “น้องคีต” ปัจจุบันอายุ 2 ขวบ 7 เดือน นักแสดงหนุ่ม “ลีโอ พุฒ” ดูเหมือนจะหายเงียบไปจากวงการบันเทิง จนมีแฟนคลับถามหาและอยากรู้ว่าตอนนี้นักแสดงในดวงใจของเขา กำลังทำอะไรอยู่ ไม่คิดถึงพวกเขาแล้วหรือ ล่าสุดเราก็เลยนัดหมายกับ “ลีโอ พุฒ” เพื่อขอสัมภาษณ์แบบส่วนตั๊ว...ส่วนตัว เจ้าตัวก็โอเคทันที
แค่เห็นภาพพ่อ-แม่-ลูก เดินจูงมือกันมาก็สื่อให้รู้ว่า เป็นครอบครัวที่อบอุ่นมาก ว่าแล้วก็คุยกับ “ลีโอ พุฒ” เลยดีกว่า เพราะเขามีงานอื่นรออยู่ ช่วงหลังทำไมดูเงียบไปจากวงการฯ ไปทำอะไรเหรอ? “จริง ๆ ไม่ได้หายไปไหน พุฒไปจัดรายการวิทยุ มันเป็นงานที่ทำทุกวันและต้องทำเป็นเวลา เหมือนกับทำให้เรารับงานอื่นไม่ได้ ตอนนี้หยุดรายการวิทยุแล้ว ก็จัดรายการวิทยุอยู่สัก 2 ปีหลังจากแต่งงานไปแล้ว แล้วก็รับงานพากย์เสียงอยู่ แต่ส่วนมากจะเป็นงานเบื้องหลัง คนจะได้ยินเสียงไม่ค่อยเห็นหน้า มันก็เลยเหมือนพุฒหายไป แต่ในระหว่างนั้นก็มีพิธีกรรายการทางไทยพีบีเอส และมีหนังสั้น เร็ว ๆ นี้ก็จะมีละครซิทคอม ทางช่อง 5 เป็นของบริษัทใหม่ จะเปิดกล้องเร็ว ๆ นี้”
ตอนนี้ชีวิตโดยทั่วไปเป็นยังไง “รู้สึกเหมือนเดิมเลยนะพี่ ไม่ได้รู้สึกแตกต่างจากตอนที่ทำงานอยู่ ทุกคนก็ยังจำพุฒได้ ไม่ได้แตกต่างอะไรเลยครับ เพื่อนฝูงในวงการก็ไม่ค่อยเจอ ตั้งแต่พุฒเลิกดื่มเลิกสูบ ซึ่งพอเราเลิกแล้ว ก็อาจจะมีส่วนทำให้เรามีน้องได้ เชื้อเราแข็งแรงขึ้น” เป็นคุณพ่อลูกหนึ่ง ชีวิตเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน “เหมือนผมก็โตไปพร้อม ๆ กับเค้าเหมือนกันนะครับ เค้าก็สอนผมเยอะ ในบทบาทของความเป็นพ่อซึ่งมันไม่มีใครสอนเราได้ นอกจากลูก ต้องลองเป็นพ่อแล้วค่อย ๆ เรียนรู้”
ยกตัวอย่างสัก 1-2 เรื่องได้มั้ย ที่เราได้จากลูก “ความรับผิดชอบ ความใจเย็น คือเด็กเค้าจะไม่ใจเย็นอยู่แล้ว ถ้าเกิดเราไปเกรี้ยวกราดหรือใจร้อนตอบ มันจะยิ่งไปปลูกฝังความก้าวร้าวให้กับเด็ก เราก็ต้องใจเย็น ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นผมเป็นคนใจร้อน ผมจะตอบโต้ผมจะดีดกลับ จะดีดความรู้สึกที่ไม่ดีกลับไป พอเรามีลูก เราก็ต้องรู้จักอดกลั้นแล้วก็ค่อย ๆ สอน แล้วก็พูดกับเค้าด้วยเหตุผล มันก็เหมือนกับเค้าสอนให้เราโตขึ้นไปอีกสเต็ปนึงเหมือนกัน จากแต่ก่อนที่เราเป็นเด็กเอาแต่ใจ เพราะเราก็มีชีวิตอยู่ตัวคนเดียว คุณพ่อเสียไปแล้วคุณแม่เค้าก็ปล่อยเราแล้ว เราโตแล้ว เพราะงั้นเราก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องไปแคร์อะไรมากมาย โอเคเราก็แค่ดูแลตัวเราเอง แล้วก็ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็เพียงพอ แต่ก่อนคิดอย่างนี้แต่เดี๋ยวนี้เหมือนกับว่าเรามีลูกแล้ว เราก็มีความรับผิดชอบมากขึ้น โตไปคีตก็ต้องเป็นส่วนหนึ่งของสังคมนี้ เราก็ต้องปลูกฝังเค้า และอบรมเค้าให้ดี”
น้องคีตสนิทกับพ่อหรือแม่มากกว่ากัน “เค้าจะสนิทกับทั้งคู่นะครับ แต่ถ้าผมอยู่บ้านจะติดผมมากกว่า เค้าจะมาหาเราเมื่อเค้าอยากจะเล่นอยากจะซุกซน แต่เวลาหิวหรือง่วงนอนก็จะมาหาแม่ ตามธรรมชาติเด็กเวลาหิวเวลาเสียใจหรือเวลาอยากได้คำตอบก็จะหาแม่” น้องคีตน่ารักมาก แถมมีแววนักแสดงซะด้วย คุณพ่อจะว่ายังไงมั้ย “เรื่องนั้นถ้ามันถึงเวลา ก็ปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของเค้าเอง ถ้าเค้าโตพอนะครับ แต่ถ้าเป็นตอนเด็ก ๆ เนี่ยก็ต้องดูสถานการณ์อีกทีนึง แต่ความจริงพุฒก็อยากจะให้เค้าเรียนหนังสือเหมือนเด็กทั่ว ๆ ไป อยากจะให้เค้าโตมากพอที่จะรู้ว่า คือเมื่อไหร่ที่เราเข้าวงการมาแล้ว มันไม่มีทางออกไปได้หรอกนะ มันไม่ใช่ ในด้านที่มันไม่สนุกก็มีนะลูกคืออยากให้เค้าเข้าใจซะก่อน แล้วเมื่อเค้าเข้าใจแล้ว เค้าจะเลือกที่จะเข้า เราก็คงไม่ไปห้ามปราม แต่ถ้าเกิดถามผมว่า อยากจะให้เค้าเป็นอะไร ผมอยากให้เค้าเป็นหมอเป็นอะไรอย่างเนี้ย คือมีอาชีพปกติ”
“ผมคิดว่าโดยเฉลี่ยแล้ว คนที่ทำอาชีพปกติธรรมดา ที่ไม่ใช่อาชีพในวงการบันเทิงทั่วไป มันหาความสุขความสงบได้ง่ายกว่า คือก็ต้องยอมรับว่า ไปไหนมันก็ตกเป็นเป้าสายตา คือเป็นกระโถนนะว่าง่าย ๆ ใครอารมณ์ไม่ดีก็มาลงที่เรา เพราะเหมือนกับว่าเค้ารู้จักเรามานาน”
ภรรยาเป็นคนสวยมาก ยังกับดาราแน่ะ...เวลาไปไหนต้องมีคนมองแน่นอน ถามจริง ๆ “พุฒ” หึงมั้ย “ผมไม่ขี้หึง เค้านั่นแหละขี้หึง แต่ผมไม่มีพฤติกรรมอะไรให้เค้าหึงนะ ดูจากการที่เค้าชอบถามว่าไปไหนไปทำอะไร ไปกับใคร คือจริง ๆ อาจจะไม่ได้หึงแบบถึงขนาด ก็คงเหมือนผู้หญิงทั่ว ๆ ไป มีแอบอยากรู้บ้าง” ได้ยินว่า มีงานถ่ายโฆษณาติดต่อมา “ใช่ครับ โฆษณานมไทย-เดนมาร์ค ที่รับเพราะดื่มนมยี่ห้อนี้มานานแล้ว เรียกว่าดื่มกันทั้งบ้าน ที่สำคัญไม่ผสมนมผง เป็นนมวัวแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ประกอบกับพุฒรู้จักกับผู้ใหญ่ในวงการคือ พี่จิ๋ม (ชลันธร แก้วแดง) เจ้าของรายการฉันรักเมืองไทย ทางช่อง 9 พอพี่จิ๋มติดต่อมาผมก็ตกลงทันที เพราะทุกอย่างลงตัว และผมว่าโฆษณาชิ้นนี้อาจจะเป็นแรงบันดาลใจ ให้คนในครอบครัวใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น เช่นเสาร์-อาทิตย์นี้ คุณพ่อคุณแม่อยากจะพาลูกไปเที่ยวชมธรรมชาติตามที่ต่าง ๆ”
อยู่ในวงการบันเทิงมานาน รู้สึกยังไงกับวงการนี้ “ยอมรับเลยว่ามีบางช่วงบางเวลา ที่รู้สึกเบื่อวงการบันเทิง พุฒทำงานตรงนี้มา 15 ปี รู้สึกได้ถึงคนไม่สม่ำเสมอ และมีบางคนที่ไม่จริงใจกัน พุฒก็รู้สึกว่าเป็นคนแตกแยก แตกแยกตรงที่ว่า เหมือนกับเมื่อไหร่ที่เข้าสังคม อุ๊ยเธอเป็นยังไง เดี๋ยวมาเมาท์กัน ซึ่งพุฒทำไม่เก่ง พุฒทำไม่ได้ พุฒก็จะรู้สึกเหมือนแตกแยก และเหมือนเป็นคนแปลกหน้าของที่นี่ แต่คนที่ไม่ได้เป็นแบบนั้นก็มี พุฒก็เลยมาลองคิดดูอีกที ไหน ๆ ก็เป็นงานที่เราไม่ใช่เขียนใบลาออก แล้วก็ออกได้จบ ถึงผมจะไม่รับงานคนก็ยังจำผมได้ ผมไม่ได้ความเป็นส่วนตัวกลับคืนมาแน่ ผมไม่สามารถย้อนเวลากลับไปในวันที่คนเค้าไม่รู้จักผม เพราะฉะนั้นถ้าจะอยู่ก็อยู่กับมันให้ดีครับ แล้วก็เลือกใช้จุดแข็งของเรา ความที่มีคนรู้จักเราเนี่ย สร้างประโยชน์และทำความดีดีกว่า ดีกว่าที่จะอยู่แล้วก็ไม่มีความสุขและไม่ได้ทำประโยชน์ด้วย แล้วก็ไม่ได้ประกอบอาชีพอะไรที่จะมาเลี้ยงครอบครัว ไหน ๆ ก็เป็นพรที่เราได้รับมาแล้ว ก็ใช้ให้มันถูกทาง ไม่มีประโยชน์ที่จะไปมองว่ามันเป็นสิ่งที่เรารับไม่ได้ หรือเราเบื่อ อย่างนั้นมันทำร้ายตัวเองไป”
จากนี้ไป “พุฒ” วางแผนให้กับครอบครัวยังไงบ้าง “พุฒคิดเอาไว้ตั้งแต่คีตเกิดมาวันแรก ไม่บังคับให้เค้าเรียนพิเศษ ถ้าสิ่งนั้นไม่ได้เกิดจากความต้องการของเค้าเอง ทำการบ้านเสร็จบ้างไม่เสร็จบ้างก็เอาเถอะ ขอให้มันผ่านก็พอ ไม่ต้องไปเคี่ยวเข็ญให้น้องเครียด จะไม่บังคับให้เค้าโตนะครับ แล้วก็ส่งเสริมให้เค้าเล่นดนตรีหรือศิลปะเพราะผมเชื่อว่าแม้ว่าสองสิ่งนี้ อาจจะไม่ใช่สิ่งที่จะมาเป็นอาชีพในการทำมาหากินของเค้าในอนาคต หรืออาจจะเป็นก็แล้วแต่ แต่อย่างน้อยก็ทำให้มีจิตใจอ่อนโยน ไม่เกเรไม่โตเป็นผู้ใหญ่ที่เลวแน่” ถ้าเปรียบครอบครัวของ “ลีโอ พุฒ” จะเปรียบเป็นอะไร “เป็นครอบครัวนัวเนียครับ เพราะผมเป็นคนที่ไม่ได้ทำงานประจำ พอที่จะมีรายได้ที่จะพอดูแลครอบครัวไปได้ เพราะฉะนั้นผมก็จะมีเวลาให้กับลูกและภรรยาเยอะ เราจะอยู่ด้วยกันทั้งวัน หอมกอดกันนัวเนีย ไปไหนไปด้วยกันตลอดครับ” เชื่อแล้วจ้า! โอเคนะคะ.
“ปรางค์ ปิ๊กมี่”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น