วันนี้ (4 เม.ย.) นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย เป็นประธานการประชุมกระทรวงมหาดไทยผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกลผ่านดาวเทียมหรือระบบวีดิโอคอนเฟรอ์เรนซ์ ร่วมกับผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ โดย พล.ต.ท.ฉลอง สมใจ ผู้ช่วย รมว.มหาดไทย กล่าวในที่ประชุมถึงเหตุระเบิดในพื้นที่ภาคใต้ ว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นต้องหาทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายขึ้นอีก รวมทั้งต้องทบทวน และซ้อมแผนป้องกันให้ดี เพราะเกิดเหตุร้ายขึ้นได้ในทุกจังหวัด ทั้งนี้ ในส่วนของกล้องโทรทัศน์วงจรปิดหรือซีซีทีวี จะต้องเป็นแบบนาทีต่อนาที ซึ่งที่ผ่านมาเจ้าภาพในการดูแลมีเยอะมากแต่กลับไม่มีประสิทธิภาพ ส่วนรถที่ใช้ก่อเหตุคาร์บอมบ์ก็เป็นที่รถที่คนร้ายขโมยมา ซึ่งเจ้าหน้าที่จะรู้ข้อมูลมากกว่าใคร รวมทั้งรู้ภาษากายคนร้ายด้วย ดังนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องเป็นฝ่ายเฝ้าดูแล
พล.ต.ท.ฉลอง กล่าวว่า นอกจากนี้พื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ จำเป็นต้องเป็นตั้งศูนย์ปฏิบัติการขึ้นมาดูแลเหตุตลอด ชั่วโมง รวมทั้งต้องมีหน่วยเคลื่อนที่เร็ว ขณะนี้ที่ผู้ว่าฯ ต้องสนธิกำลังร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ หากเห็นอะไรที่ผิดสังเกตต้องเข้าชาร์จทันที หากปล่อยไว้จะเกิดเหตุอีก เพราะขนาด อ.หาดใหญ่ ซึ่งเป็นเซฟตี้โซนยังเกิดเหตุระบิดได้ ดังนั้นต้องรีบดำเนินการ ทั้งนี้ตนเป็นห่วงศาลากลางในทุกจังหวัด เพราะเป็นที่ทำงานเจ้าเมือง หากเกิดเหตุระบิดอีกเท่ากับว่าเราหมด ไม่มีอำนาจอะไรเหลือ
ขณะที่นายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ ที่ปรึกษา รมว.มหาดไทย กล่าวว่า ในฐานะที่ได้รับมอบหมายการประสานงานในพื้นที่ภาคใต้ ได้พูดคุยกับผู้นำด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ทราบว่าเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความหย่อนยานของเจ้าหน้าที่ในโรงแรมที่ไม่ยอมแลกบัตร ดังนั้นผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดโดยเฉพาะ จังหวัดภาคใต้ควรใช้บัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดให้เป็นประโยชน์ เพื่อจะได้ใช้ตรวจสอบบุคคลได้ นอกจากนี้ควรกำชับให้สถานบริการดูแลบุคคลที่เข้า – ออกอย่างเข้มงวด
ด้านนายยงยุทธ กล่าวอีกด้วยว่าขณะนี้โทรศัพท์ติดต่อผู้ว่าฯ ไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะเวลาที่มีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องการสอบถาม โดยบางครั้งนายกฯ ทราบเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ก่อน ขณะที่ตนยังไม่รู้เรื่องซึ่งเป็นเรื่องขายหน้า ดังนั้นผู้ว่าฯ ต้องรายงานทันที เช่น เรื่องม็อบในแต่ละพื้นที่ หากผู้ว่าฯ แก้ไขโดยใช้กฎหมาย อาจจะถูกประชาชนไล่บ้าง แต่ถ้าไม่จัดการม็อบด้วยกฎหมาย ก็อาจจะถูกย้ายไปเป็นผู้ตรวจฯ ได้
แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น