วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2555

ยอดสมัครกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีพุ่งสูงกว่า 4.7 ล้านคนแล้ว


วันนี้ ( 19 มี.ค.) นายประเสริฐ บุญเรือง เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) กล่าวว่า ตามที่ กศน.ได้ดำเนินการรับสมัครสมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ตั้งแต่วันที่ 18 ก.พ.ถึงวันที่ 18 มี.ค. ปรากฏว่ามียอดผู้สมัครทั่วประเทศทั้งสิ้น 4,780,154 คน ซึ่งกศน.ได้สรุปจำนวนผู้สมัครในแต่ละวันรายงานต่อ ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.ศึกษาธิการเพื่อรายงานต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแล้ว
ทั้งนี้การรับสมัครจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มี.ค. หลังจากนั้นทาง กศน.จะสรุปยอดรวมผู้สมัครในแต่ละตำบลให้กับทางนายอำเภอ เพื่อจัดเวทีประชาคมเลือกตัวแทนเพื่อไปบริหารกองทุนของชุมชนต่อไป อย่างไรก็ตามในส่วนของ กทม.ขณะนี้ได้รับรายงานว่ายอดผู้สมัครไม่เป็นไปตามเป้า ดังนั้น นางนลินี ทวีสิน รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายกฯให้รับผิดชอบกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี จึงได้เรียกประชุมเพื่อปรับกลยุทธในการรับสมัครในพื้นที่กทม.ใหม่ โดยจะให้ผอ.กศน.เขต และครู กศน.ออกไปเคาะประตูบ้านเพื่อรับสมัครสมาชิกให้เป็นไปตามเป้าหมาย

แหล่งที่มาของข้อมูล www.dailynews.co.th   

ดัน 5 บิ๊กศธ.ร่วมลงนามปราบคอรัปชั่น


วันนี้ ( 19 มี.ค.) ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) เปิดเผยว่า ในเร็วๆนี้ตนมีโครงการที่จะแก้ไขปัญหาคอรัปชั่นในกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยจะให้ผู้บริหาร 5 องค์กรหลัก ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)  สำนักงานปลัดศธ.  สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา  มาลงนามข้อตกลงเพื่อร่วมกันปราบการทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งตนเชื่อว่าเมื่อระดับผู้บริหารระดับสูงในศธ.มาลงนามข้อตกลงกันแล้วก็จะส่งผลไปถึงระดับล่างๆลงไปด้วย 
ทั้งนี้นอกจากการลงนามข้อตกลงดังกล่าวแล้วยังจะมีการกำหนดมาตรการต่างๆออกมาด้วย เช่น ต่อไปการจัดซื้อต่างๆ ต้องมีความโปร่งใส ประกาศราคากลาง รายละเอียดรายการที่จะจัดซื้ออย่างชัดเจนและให้ตั้งอดีตผู้บริหาร เช่น ผู้อำนวยการโรงเรียนที่เกษียณอายุราชการไปแล้วและเป็นผู้ที่มีประวัติดีมาเป็นประธานกรรมการจัดซื้อจัดจ้าง แทนที่จะให้สถานศึกษาหรือหน่วยงานตั้งคนภายในเอง เป็นต้น
ศ.ดร.สุชาติ กล่าวต่อไปว่า ในปัจจุบันศธ.มีเรื่องร้องเรียนเรื่องทุจริตเข้ามาอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีการให้ข้อมูลของผู้ที่ร้องเรียน อย่างไรก็ตามจริงๆแล้วปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นในศธ.ไม่ได้มีมากจนถึงกับต้องมีการลงนามในข้อตกลง แต่ที่ทำเพราะตนต้องการวางแนวทางในการแก้ปัญหานี้เอาไว้ เพราะเรื่องนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไปคงไม่สามารถแก้ปัญหาได้ในทันทีทันใด เหมือนกับการแก้ปัญหานักเรียนตีกันจะไปบอกให้หยุดตีกันคงไม่ได้ แต่เราต้องหาวิธีเปลี่ยนจิตใจของเด็กไม่ให้ตีกัน เรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน  หากผู้นำทุกระดับไม่คิดคอรัปชั่นทุกอย่างก็หมดปัญหา ทั้งนี้ตนคาดหวังว่าการแก้ปัญหาคอรัปชั่นจะได้รับความร่วมมือจากบุคลากรทุกระดับตั้งแต่ผู้บริหารองค์กรหลักไปจนถึงผู้อำนวยการกองต่างๆผู้ อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาและผู้อำนวยการสถานศึกษา

แหล่งที่มาของข้อมูล www.dailynews.co.th   

เหน็บ!เงินเดือนครูขึ้นสวนคุณภาพการศึกษาเด็ก


วันนี้ (19 มี.ค.) ศ.ดร.อุทุมพร จามรมาน ที่ปรึกษาผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า เมื่อไม่นานนี้ทางสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้ร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ จัดอภิปรายอย่างไม่เป็นทางการเรื่อง “แนวทางแก้ไขคุณภาพการศึกษาไทย” เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวคิดและข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาการศึกษา ตลอดจนแนวทางแก้ปัญหา เพื่อนำข้อสรุปเสนอต่อรัฐบาลในการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม โดยในที่ประชุมได้ข้อสรุปเบื้องต้นในการแก้ปัญหาคุณภาพการศึกษาเด็กไทยตกต่ำ ดังนี้ 1.จัดทดสอบระดับชาติให้กับเด็กโดยใช้ข้อสอบชุดเดียวกันทั่วประเทศที่ออกโดยหน่วยงานอิสระ และไม่อยู่ภายใต้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และข้อสอบจะเน้นไปที่การอ่านออกเขียนได้ โดยเฉพาะ 3 วิชาพื้นฐาน ได้แก่ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และการสื่อสารทางภาษา จากนั้นนำผลมาประมวลจัดคุณภาพของโรงเรียนเป็นกลุ่ม ๆ คือ แย่ พอใช้ ดี ดีมาก และดีเยี่ยม เพื่อหาวิธีการแก้ปัญหาที่เหมาะสมในการยกระดับคุณภาพ ขณะเดียวกันจะต้อมีการเผยแพร่ข้อมูลต่าง ๆ แก่สาธารณชนและผู้ปกครอง เพื่อให้ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนรับผิดชอบและการจัดการเรียนการสอน
 
ด้าน ศ.ศรีราชา เจริญพานิช ผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยลงทุนด้านการศึกษามาก โดยเฉพาะเงินเดือนครูที่มีการเลื่อนขั้นเงินเดือนพิเศษในช่วงรอบปีที่ผ่านมาถึง 13% มากกว่าข้าราชการอื่นที่ได้แค่ 5% แต่คุณภาพการศึกษากลับทรุดต่ำลงมาก ๆ จึงทำให้สำนักผู้ตรวจการแผ่นดินร่วมกับทีดีอาร์ไอจะค้นหาว่าปัจจัยใดที่เป็นปัญหา เพื่อที่จะนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขระบบการศึกษา เพราะในปี 2558 จะต้องเปิดประเทศในกลุ่มประเทศอาเซียน ขณะที่คุณภาพการศึกษาไทยยังมีปัญหาอีกมาก ดังนั้นจะต้องชี้ให้ตรงเป้า ซึ่งอาจต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขกฎหมายในบางเรื่อง และปรับบางองค์กรออกไปเป็นองค์กรอิสระ เป็นต้น
 
“ประเทศไทยมีการปฏิรูปการศึกษามาตลอด แต่ไม่ได้เกิดผล ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ครั้งนี้ต้องจี้ให้ถูกจุด จุดไหนที่ต้องเปลี่ยนแปลงจริงๆต้องเปลี่ยนทันที ซึ่งในการประชุมมีนักวิชาการบางคนแสดงความคิดเห็น ทำให้รู้สึกตกใจที่ว่าปัจจุบันยังคงมีการจัดการศึกษาแบบเดิมๆ เหมือนเมื่อ 20-30 ปีที่แล้ว ทั้งที่ต้องศึกษาว่าโลกศตวรรษที่ 21 ต้องมีอะไรบ้าง ห้องเรียน เนื้อหาวิชาของหลักสูตรต่าง ๆ ครูต้องปรับตัวอย่างไร  ซึ่งถือว่าน่าเป็นห่วงที่สุดและเป็นเรื่องใหญ่มาก แต่ก็ไม่มีใครรู้ร้อนรู้หนาว หาก ศธ.ยังเฉย สภาการศึกษาก็เฉย หน่วยงานอื่น ๆ ก็เฉย ทั้งที่คุณภาพการศึกษาของเราต่ำลงทุกวัน อย่างไรก็ตามสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินจะทำวิจัยเชิงลึก เพื่อหาแนวทางการแก้ปัญหาการศึกษาอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อเสริมข้อคิดความเห็นของเรา และจะเสนอไปยังรัฐบาล โดยเฉพาะ รมว.ศึกษาธิการ ทั้งนี้ผมคิดว่าฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลน่าจะต้องฟังข้อเสนอแนะของเรา เพราะคือหัวเลี้ยวหัวต่อของประเทศที่จะต้องรวมกันแก่ปัญหา” ศ.ศรีราชา กล่าว.

แหล่งที่มาของข้อมูล www.dailynews.co.th   

ชงครม.จัดซื้อ"แท็บเล็ต"แบบลงนามเอ็มโอยู


เมื่อวันที่ 19 มี.ค. ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) กล่างถึงการจัดซื้อแท็บเล็ตว่า  ในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่ภูเก็ตวันที่ 20 มี.ค.นี้ ตนจะเสนอเรื่องการจัดซื้อคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตให้แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ตามโครงการ One Tablet PC Per Child โดยจะเปลี่ยนวิธีการจัดซื้อจากระบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (Government to Government) หรือจีทูจี มาเป็นการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ หรือเอ็มโอยู ซึ่งการปรับเปลี่ยนดังกล่าวเป็นไปตามข้อหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) และกระทรวงการต่างประเทศ รวมทั้งจะเสนอต่อคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ(กวพ.) เพื่อขอจัดซื้อโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการประมูลผ่านระบบอิเลคทรอนิคส์ หรือ อีอ๊อกชั่น ทั้งนี้การจัดซื้อดังกล่าวทางกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้ลงนามในเอ็มโอยู และกระทรวงไอซีทีจะเป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อ
ศ.ดร.สุชาติ กล่าวต่อไปว่า สาเหตุที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดซื้อ เนื่องจากแต่ละหน่วยงานให้คำจำกัดความของระบบจีทูจีไม่เหมือนกัน บางหน่วยงานเห็นว่าจะต้องมีความเข้มกว่านี้ โดยรัฐบาลจีนจะต้องนำแท็บเล็ตมาส่งให้แก่รัฐบาลไทย ซึ่งตนเห็นว่าจะให้รัฐบาลจีนมารับผิดชอบและรับประกันบริษัทที่ได้รับเลือกคงทำไม่ได้ แต่รัฐบาลจีนจะคอยช่วยเหลือและดูแลให้ได้ และที่สำคัญการจัดซื้อด้วยวิธีเอ็มโอยูจะเป็นการป้องกันการวิ่งเต้นติดสินบนในการประมูลด้วย ส่วนที่หลายฝ่ายกังวลว่าเวลาที่เหลืออีก 2 เดือนจะแจกให้แก่นักเรียนไม่ทันก่อนเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 นั้น ตนเองก็รู้สึกเป็นห่วงเหมือนกัน แต่ก็จะพยายามทำให้ทันก่อนเปิดภาคเรียน
ต่อข้อถามว่า การเปลี่ยนมาใช้การจัดซื้อด้วยวิธีเอ็มโอยูเพื่อป้องกันการวิ่งเต้น แสดงว่าก่อนหน้านี้มีการวิ่งเต้นติดสินบนแล้วใช่หรือไม่ ศ.ดร.สุชาติ กล่าวว่า ไม่ใช่ แต่ตนหมายความว่าถ้าไม่ซื้อภายใต้รัฐบาลต่อรัฐบาล และให้จัดซื้อภายในก็อาจจะเกิดปัญหาที่เราคาดไม่ถึง และการจัดซื้อในครั้งนี้เป็นโครงการแรกที่มีการจัดซื้อแท็บเล็ตเป็นล้านเครื่อง จึงกลัวว่าจะมีการวิ่งเต้นให้สินบนจากการประมูล

แหล่งที่มาของข้อมูล www.dailynews.co.th   

พระโอวาทกรมพระยาดำรงฯ “ฟัง-คิด-ถาม-จำ” ไม่มีล้าสมัย


หนังสือเก่าที่มีคุณค่าอีกเล่มหนึ่งมีชื่อว่า “พระโอวาทของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ” ซึ่งประทานที่โรงเรียนเมืองปัตตานี เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ.2472 โดย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (อธิบดีกรมศึกษาธิการพระองค์แรก ต่อมาปรับเป็นกระทรวงธรรมการ ปัจจุบันคือกระทรวงศึกษาธิการ) ทรงพิมพ์เป็นมิตรพลีขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2473 (ปีใหม่ในสมัยนั้น คือ วันที่ 1 เมษายน) เพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณชนทั่วประเทศ ผู้เขียนเห็นเป็นประโยชน์ต่อเด็กนักเรียนแม้ในปัจจุบัน จึงเชิญพระโอวาทบางบทบางตอนมาเผยแพร่อีกครั้งในเดลินิวส์ฉบับนี้
สารบาญของหนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็น 4 ตอน คือ ปรารภเบื้องต้น ว่าด้วยการเรียน ว่าด้วยการสอน และว่าด้วยราชการ ตอนที่เกี่ยวข้องกับเด็กนักเรียนโดยตรงคือ ตอนว่าด้วย “การเรียน” ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงมีพระดำรัสว่า
เด็กนักเรียนทั้งหลายบรรดามาอยู่ในที่นี้ ใครเคยคิดบ้างหรือไม่ว่า เหตุใดตัวจึงต้องมาเข้าโรงเรียน ความจริงนั้น ธรรมดาคนเราเมื่อแรกเกิดจำต้องอาศัยผู้ใหญ่เลี้ยง คือแม่ให้กินนมเป็นต้นจึงรอดชีวิต ครั้นค่อยเติบใหญ่ขึ้น จะอาศัยผู้ใหญ่เหมือนอย่างเมื่อยังเป็นเด็กไม่ได้ เพราะเขาแก่ชราอ่อนกำลังลง  ลูกที่เป็นหนุ่มเป็นสาวก็จะต้องหาเลี้ยงดูตอบแทนบุญคุณมิให้พ่อแม่ได้ความเดือดร้อน ว่าโดยย่อในไม่กี่ปีนักเรียนทั้งหลายนี้จะถึงเวลาต้องหาเลี้ยงตัวเองเหมือนกันหมดทุกคน จะผิดกันตรงแต่ว่าใครได้อุตส่าห์ ศึกษาหาความรู้ ใส่ตัวเตรียมไว้ เมื่อถึงเวลาจะต้องหาเลี้ยงตัวเองเช่นนั้น ก็อาจจะหาได้สะดวกดีมีความสุข ใครไม่มีความรู้ ก็จะได้ความทุกข์ยากลำบากแก่ตัวไปตลอดชีวิต ที่รัฐบาลตั้งโรงเรียนก็ดี ที่พ่อแม่และผู้ปกครองส่งเด็กมาเข้าโรงเรียนก็ดี ก็ด้วยประสงค์อย่างเดียวกัน คือจะให้เด็กได้โอกาสศึกษาหาความรู้สำหรับเตรียมตัวไว้ เมื่อเติบใหญ่ขึ้นถึงเวลาจะต้องหาเลี้ยงตัวเองเมื่อใด ก็จะได้รู้ทางทำมาหากินไม่ต้องเป็นทุกข์ยากเดือดร้อนเมื่อภายหน้า
อนึ่งการศึกษาย่อมเป็นธรรมดาของเด็ก ถึงจะเข้าโรงเรียนหรือไม่เข้าโรงเรียน ก็คงต้องศึกษาอยู่นั่นเอง จะชี้พอเป็นอุทาหรณ์ เช่นบรรดาเด็กที่เกิดมา พอรู้ความพ่อแม่ก็สั่งสอนให้กินอยู่เล่นหัวแต่พอควร ห้ามมิให้วิวาทกับผู้อื่น เหล่านี้เป็นการสอนให้เด็กรู้จักรักษาตัว ตรงกับตำราเรียกว่า “สามัญศึกษา” คือความรู้อันสมควรเด็กทุกคนจะต้องเรียน ครั้นต่อมาเมื่อเด็กค่อยเติบโตขึ้น ถ้าพ่อแม่เป็นชาวนา ก็เริ่มสอนลูกให้รู้กระบวนการทำนา ตั้งแต่หัดให้เลี้ยง วัว ควาย เป็นต้น แล้วให้ช่วยพ่อแม่ทำการ สอนให้รู้วิธีทำนาเป็นอย่างๆขึ้นไปจนลูกสามารถทำนาเองได้โดยลำพังตัวเอง ถ้าพ่อแม่เป็นช่าง ก็สอนลูกโดยทำนองเดียวกัน เพื่อจะให้ลูกสามารถหาเลี้ยงตัวได้ด้วยทำการนั้นๆในภายหน้า เหล่านี้เป็นการสอนวิชชาอาชีพ ตรงกับตำราเรียกว่า “วิสามัญศึกษา” คือความรู้อย่างใดเหมาะแก่ใคร คนนั้นก็เรียนแต่อย่างนั้น ไม่ต้องเรียนทุกอย่างเหมือนกันหมดทุกคน
การศึกษาของเด็กที่โรงเรียนนั้น คนทั้งหลายมักเข้าใจกันว่าเรียนแต่วิชชาหนังสือ จึงมักเรียกการศึกษาว่า “เรียนหนังสือ” ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น หนังสือเป็นแต่เครื่องเก็บรักษาวิชชาความรู้ไว้เหมือนอย่างคลังที่เก็บทรัพย์มฤดก การเรียนหนังสือเหมือนหาลูกกุนแจสำหรับไขคลังเข้าไปเอาทรัพย์มฤดก คือวิชชาและความรู้ มุ่งหมายให้เป็นประโยชน์แก่นักเรียน 3 อย่างเหมือนกันหมด คือ อย่างที่ ๑ นั้น มุ่งหมายจะให้นักเรียนมีกำลังร่างกายแข็งแรงและปราศจากโรคภัย เพื่อให้อายุยืนอยู่ได้จนแก่เฒ่า การที่สอนความรู้อนามัยก็ดี ฝึกหัดกายบริหารก็ดี อยู่ในประโยชน์อย่างที่ 1 นี้ อย่างที่ 2 นั้น มุ่งหมายจะให้นักเรียนเป็นสาธุชน คือ คนประพฤติตัวดี เป็นที่เชื่อถือของผู้อื่น การที่สอนจรรยาและสอนศาสนา อยู่ในประโยชน์อย่างที่ 2 นี้ อย่างที่ 3 นั้น มุ่งหมายจะให้นักเรียนมีสติปัญญา การที่สอนให้คิดเลขก็ดี ให้รู้ภูมิศาสตร์และพงศาวดารก็ดี ชี้ให้เห็นลักษณะวัตถุหรือกิจการต่างๆ ที่เป็นจริง เหล่านี้อยู่ในประโยชน์อย่างที่ 3
การฝึกหัดเป็นลูกเสือ รวมประโยชน์ทั้ง 3 อย่างที่กล่าวมาอยู่ในนั้น รัฐบาลจึงได้บำรุง และประโยชน์ 3 อย่างนั้นเป็นองค์ของสามัญศึกษา เมื่อนักเรียนเรียนได้ตลอดแล้ว จะไปเรียนวิชชาความรู้ชั้นวิสามัญศึกษาอย่างใดสำหรับหาเลี้ยงตัวก็จะเรียนได้สะดวกดี เพราะได้รับความฝึกหัดอบรมและมีความรู้เบื้องต้นเป็นทุนสำหรับตัวไปแล้ว ต่อเด็กคนใดเล่าเรียนด้วยตั้งใจจะหาความรู้ เด็กคนนั้นจึงเรียนได้สำเร็จ เพราะฉะนั้นนักเรียนทั้งหลายที่มาเข้าโรงเรียน เบื้องต้นต้องเคารพนับถือครู อันลักษณะการเรียนนั้นตามคติโบราณ ว่ามีองค์ซึ่งต้องถือเป็นหลัก 4  อย่างคือ
อย่างที่ 1 ต้องตั้งใจ ฟัง คำสอนของครู อย่างที่ 2 ฟังแล้วต้อง คิด ดูให้เข้าใจ อย่างที่ 3 ถ้ายังไม่เข้าใจต้อง ถาม อย่างที่ 4 เมื่อเข้าใจแล้วต้อง จำ ไว้ ข้อความที่กล่าวมาเหล่านี้ เด็กนักเรียนทั้งหลายจงจำไว้เป็นคติ
พระโอวาทนี้ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพประทานเมื่อ 80 กว่าปีมาแล้ว แต่หากนำมาพิจารณาให้ดี จะเห็นได้ว่าสอดคล้องตรงกับจุดมุ่งหมายของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในปัจจุบัน ทั้งเรื่องการพัฒนาสุขอนามัย ศีลธรรมจรรยา การพัฒนาสติปัญญาความรู้ และการเรียนก็เพื่อพัฒนาอาชีพให้สามารถเลี้ยงตนเองและครอบครัวให้มีความอยู่ดีกินดี ซึ่งตรงกับยุทธศาสตร์การพัฒนาการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบัน
หากเด็กนักเรียนทั้งหลายลองอ่านพระโอวาทให้ดี ตรึกตรองให้เข้าใจ และนำไปปฏิบัติก็จะเป็นประโยชน์แก่อนาคตของเด็กๆทุกคนอย่างแน่นอน

แหล่งที่มาของข้อมูล www.dailynews.co.th   

นักเรียนยืนยันสิทธิ์รับตรงขาดเกือบหมื่น


วันที่ 20 มี.ค. ศ. ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.)  ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประไทย (ทปอ.)  เปิดเผยว่า หลังจากที่สมาคมอธิการบดีแห่งประเทศไทย( สอท.) ได้เปิดให้นักเรียนที่ผ่านการคัดเลือกในระบบรับตรงของมหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมในระบบเคลียริ่งเฮ้าส์ ประจำปีการศึกษา 2555    ได้เข้ามายืนยันสิทธิ์การรับตรงตั้งแต่ วันที่ 11-17 มี.ค.ที่ผ่านมา  ผลปรากฏว่า มีนักเรียนเข้ามายืนยันสิทธิ์ จำนวน 27,641 คน จากผู้ผ่านการคัดเลือก จำนวน  37,167 คน   มีคณะที่ผู้ผ่านการคัดเลือกได้เลือก จำนวน 41,331 ที่นั่ง  และในวันที่  21 มี.ค. สอท.แจ้งรายชื่อผู้ที่ยืนยันสิทธิ์ไปยังมหาวิทยาลัยต่าง ๆ  เพื่อให้มหาวิทยาลัยประกาศรายชื่อผู้ยืนยันสิทธิ์และตัดสิทธิ์การสมัครในระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษาหรือแอดมิชชั่นกลาง
“จากตัวเลขของนักเรียนที่เข้ามายืนยันสิทธิ์ ผมถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ และจะช่วยแก้ปัญหาการรับตรงได้ในระดับหนึ่ง พร้อมทั้งลดการแข่งขันแอดมิชชั่นลงไปได้อีก เพราะนักเรียนมีที่นั่งเรียนแล้วสองหมื่นกว่าคน    รวมทั้งการรับตรงเป็นไปด้วยความราบรื่นทั้งที่เป็นปีแรก  อย่างไรก็ตาม สอท.จะไม่มีการขยายวันยืนยันสิทธิ์รับตรงแล้ว และนักเรียนที่ยืนยันสิทธิ์รับตรงแล้วจะไม่สามารถที่จะไปยื่นสมัครแอดมิชชั่นกลางด้วย เพราะสอท.ได้ตัดสิทธิ์นักเรียนไปแล้ว  ”ศ.ดร.สมคิด กล่าว
ด้านรศ.ดร.พรทิพย์ ไชยโส  คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  (มก. )กล่าวว่า ขณะนี้มก.กำลังเปิดรับสมัครบุคคลออทิสติกและบุคคลที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้  โดยวิธีรับตรงโควตาพิเศษ ปีการศึกษา 2555  จำนวน 4 คน เข้าศึกษาในคณะมนุษยศาสตร์ สาขาวิชาปรัชญาและศาสนา สาขาวิชาภาษาฝรั่งเศส คณะศึกษาศาสตร์ สาขาคหกรรมศาสตร์ศึกษา และสาขาคอมพิวเตอร์และธุรกิจศึกษา สาขาละ 1 คน  ผู้สนใจสมัครได้จนถึงวันที่ 23 มี.ค. 55 รายละเอียดดูได้ที่ www.ku.ac.th

แหล่งที่มาของข้อมูล www.dailynews.co.th   

วธ.ทำสารคดี "สยามศิลปิน" เชิดชูเกียรติศิลปินสำคัญของชาติ


เมื่อวันที่ 21 มี.ค.ที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย นางสุกุมล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่ากากระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) เป็นประธานในการแถลงข่าวการจัดทำสารคดี “สยามศิลปิน” โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม(สวธ.) ร่วมมือกับมูลนิธิศิลปินแห่งชาติ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เพื่อเชิดชูเกียรติศิลปินคนสำคัญของไทย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
นางสุกุมล กล่าวว่า สยามศิลปิน จะถ่ายทอดเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับศิลปินไทยผู้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะแขนงต่างๆทั้งด้านศิลปกรรม วรรณกรรม และกวีนิพนธ์ อาทิ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 พล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช พลอากาศตรีอาวุธ เงินชูกลิ่น ศิลปินแห่งชาติ โดยจัดทำเป็นสารคดีทางโทรทัศน์ เพื่อเผยแพร่ จำนวน 24 ตอน ความยาวตอนละ 50 นาที ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 22.00-23.00น. ซึ่งจะเริ่มตอนแรก วันที่ 5 เม.ย.นี้
นางปริศนา พงษ์ทัดศิริกุล อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กล่าวว่า ศิลปินที่ สวธ.คัดเลือกมานั้น จะมีผลงานที่โดดเด่น สร้างความภูมิใจในความเป็นไทยด้วยผลงานศิลปะแขนงต่างๆที่มีคุณค่าจากภูมิปัญญาและอัจฉริยภาพของศิลปินที่มีชื่อเสียง ซึ่งจะเป็นสื่อสำคัญในการจุดประกายและสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานหรือการทำงานด้วยความมุ่งมั่น การฟันผ่าอุปสรรคต่างๆของศิลปินในการเป็นต้นแบบให้แก่คนรุ่นใหม่ พร้อมทั้งเป็นสื่อที่กระตุ้นให้คนไทยตระหนักถึงคุณค่างานศิลปะแขนงต่างๆของไทยและช่วยกันอนุรักษ์สืบสานต่อไป
“ สวธ.ผลิดสารคดีมาหลายชุด แต่ชุดนี้เป็นชุดที่ภูมิใจที่สุด เนื่องจากเป็นผลงานของศิลปินแห่งชาติ ที่สร้างความภาคภูมิใจให้แก่คนไทยทุกคน โดยมีการบรรยายทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ โดยจะนำไปเผยแพร่ยังต่างประเทศด้วย เพื่อให้ชาวต่างชาติได้เห็นถึงคุณค่าและผลงานของศิลปิน บุคคลสำคัญของไทย”อธิบดีสวธ.กล่าว

แหล่งที่มาของข้อมูล www.dailynews.co.th   

“สุกุมล” ตรวจฉากบังเพลิง ประกอบพระเมรุสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนฯ เสร็จสมบูรณ์ พร้อมประกอบ 25 มี.ค.



เมื่อวันที่ 21 มี.ค. ที่วิทยาลัยช่างศิลป  สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์(สบศ.) เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ นางสุกุมล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) พร้อมด้วยนางโสมสุดา ลียะวณิช อธิบดีกรมศิลปากร นายสิริชัยชาญ ฟักจำรูญ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ตรวจเยี่ยมการสร้างฉากบังเพลิง เพื่อใช้ประกอบพระเมรุ ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี
โดยนางสุกุมล กล่าวภายหลังตรวจเยี่ยมว่า จากการตรวจเยี่ยมการจัดสร้างฉากบังเพลิง ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ฉากบังเพลิง ได้จัดทำเสร็จแล้ว เหลือเพียงขั้นตอนนำไปประกอบในพระเมรุ ในวันที่ 25 มี.ค.นี้ 
นางสุกุมล กล่าวต่อไปว่า ฉากบังเพลิงแต่ละด้าน จะมีศิลปิน อาจารย์ นักศึกษาทั้งศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบันมาช่วยกันในการสร้างบังเพลิง ซึ่งแต่ละด้านของฉากบังเพลิง จะมีเอกลักษณ์ที่ช่างเขียนถ่ายทอดออกมาแตกต่างกัน ในเรื่องรูปเทวดา การใช้สี เป็นต้น ส่วนความคืบหน้าการสร้างพระเมรุ ขณะนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เหลือเพียงการปรับภูมิทัศน์รอบด้านเท่านั้น โดยในวันที่ 25 มี.ค.ทางผู้รับเหมาจะส่งมอบงานที่เสร็จสิ้นให้แก่กรมศิลปากร รวมทั้งจะมีการซ้อมริ้วขบวนพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพฯ ครั้งที่ 2 ในวันดังกล่าวด้วย
นายสาคร โสภา รองผอ.ฝ่ายบริหาร วิทยาลัยช่างศิลป ในฐานะผู้เชี่ยวชาญศิลปกรรมไทยผู้เขียนลวดลายฉากบังเพลิง กล่าวว่า  ฉากบังเพลิงมีความงดงาม ด้านหน้าเป็นรูปเทวดา ด้านหลังเป็นรูปดอกกุหลาบ ซึ่งการเขียนรูปดอกกุหลาบ เนื่องจาก สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนฯ ทรงโปรดดอกกุหลาบเป็นอย่างมาก การออกแบบจึงได้นำลวดลายดอกกุหลาบมาเขียนไว้ที่ฉากบังเพลิง ส่วนฉากบังเตานั้น ได้ออกแบบเป็นรูปดอกบัว 4 เหล่า เพื่อแฝงคติธรรมตามหลักพระพุทธศาสนาไว้ เพื่อให้ประชาชนได้เรียนรู้ ซึ่งนับตั้งแต่โบราณมาจะมีการเขียนลวดลายต่างๆที่แฝงคติธรรม ในพระเมรุมาโดยตลอด
ด้านนายสิริชัยชาญ ฟักจำรูญ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ (สบศ.) กล่าวว่า  งานที่ สบศ. รับผิดชอบในงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพฯ นอกจากวิทยาลัยช่างศิลปจะดำเนินการเรื่องฉากบังเพลิงแล้ว วิทยาลัยนาฏศิลป 12 แห่งทั่วประเทศได้คัดนักเรียนมาแสดงมหรสพโขน ละคร บนเวทีด้านทิศเหนือ อีกส่วนหนึ่งจะเป็นการแสดงโขนข้างพระเมรุ โดยครั้งนี้ได้จัดนักแสดงคนละชุดแยกต่างหากจากที่แสดงบนเวที รวมนักแสดงจากวิทยาลัยนาฏศิลปทั้งหมดประมาณ 600 คน และนักแสดงกรมศิลปากรอีกประมาณ 200 คน จะเริ่มซ้อมการแสดง 2 เมษายนนี้ ที่สำนักการสังคีต กรมศิลปากร และบริเวณวิทยาลัยนาฏศิลป์ วังหน้า  นอกจากนี้ในส่วนวงดนตรีไทย จะเริ่มบรรเลงตั้งแต่วันที่ 8 -10 เมษายน โดยเป็นการบรรเลงต่อเนื่องกันไปจนจบพระราชพิธีฯ

แหล่งที่มาของข้อมูล www.dailynews.co.th   

วธ.ร่อนหนังสือกระตุ้น "ราชการ-เอกชน"สวมผ้าไทย



เมื่อวันที่ 21 มี.ค. นางสุกุมล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวถึงความคืบหน้าการรณรงค์ส่งเสริมให้ภาครัฐ เอกชน ประชาชน รวมถึงเยาวชน วัยหนุ่มสาวให้หันมาใช้ผ้าไหมหรือผ้าไทย มาสวมใส่ในชีวิตประจำวัน ตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นั้น ขณะนี้ วธ. ได้จัดทำหนังสือเวียนแจ้งขอมือความร่วมมือไปยังทุกกระทรวง และหน่วยงานเอกชนหลายร้อยแห่ง ซึ่งหลังจากแจ้งหนังสือไปแล้วได้ทำการประเมินผลพบว่ารัฐมนตรีแต่ละกระทรวง ข้าราชการหันใส่ผ้าไทยมากขึ้น รวมถึงน.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ดังนั้นถือว่าการรณรงค์ที่ผ่านมาประสบความสำเร็จในระดับดี
นางสุกุมล กล่าวต่อไปว่า นอกจากการขอความร่วมมือแล้ว ที่ผ่านมา วธ. จัดงานมหกรรมวัฒนธรรม โดยนำผลิตภัณฑ์ผ้าไหมและผ้าไทย มาจำหน่ายเพื่อให้ประชาชนเลือกซื้อ เพื่อนำไปตัดสวมใส่ ส่วนแบบการการแต่งผ้าไทยนั้น หลายคนอาจจะเข้าใจว่า วธ. บังคับและต้องตัดตามรูปแบบที่กระทรวงกำหนด ต้องขอชี้แจงว่าไม่มีการกำหนดรูปแบบใดๆ ให้อิสระทุกคนออกแบบตามความเหมาะสมของแต่ละคน เพราะหากกำหนดรูปแบบชัดเจนจะยิ่งทำให้คนส่วนใหญ่ต่อต้านและไม่อยากสวมใส่
“ในเร็วๆ นี้ วธ. จะร่วมมือกับเอกชนนำผ้าไทยไปให้ดีไซน์เนอร์ชื่อดังทั้งในและต่างประเทศ นำไปออกแบบเสื้อผ้า เพื่อให้มีรูปแบบออกมาทันสมัยและน่าสวมใส่ รวมทั้งกำลังดำเนินการจัดทำข้อมูลผู้ประกอบการผ้าไทยทั้ง 77 จังหวัดให้เป็นปัจจุบัน โดยจัดพิมพ์เป็นหนังสือนามสงเคราะห์เกี่ยวกับผู้ประกอบการผ้าไทยทั้งฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพื่อแจกจ่ายให้หน่วยงานราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ประชาชนทั่วไป และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เพื่อเป็นข้อมูลในการเลือกซื้อผ้าไทยหรือผ้าไหมด้วย”รมว.วัฒนธรรม กล่าว

แหล่งที่มาของข้อมูล www.dailynews.co.th