วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ทางออกสับปะรดไทย - เกษตรทั่วไทย





รายงานข่าวจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่าปัจจุบันไทยเป็นประเทศผู้ผลิตสับปะรดรายใหญ่ที่สุดของโลก รองลงมาคือฟิลิปปินส์และบราซิล โดยคาดว่าในปีนี้จะมีผลผลิตประมาณ 2.5 ล้านตัน

ทั้งนี้ ผลผลิตเฉลี่ยของไทยอยู่ที่ประมาณ 4 ตันต่อไร่ พื้นที่การปลูกทั่วประเทศ มีประมาณ 640,000 ไร่ ขณะที่ทั่วโลกมีปริมาณการผลิตสับปะรดอยู่ที่ 9.4 ล้านตัน ตลาดสับปะรดที่สำคัญของโลกอยู่ในอเมริกา สหภาพยุโรปและญี่ปุ่น ซึ่งในสหภาพยุโรปตลาดหลักของไทย คือ เนเธอร์แลนด์และเยอรมนี อย่างไรก็ดี เนื่องจากในปีนี้เป็นปีที่อเมริกา สหภาพยุโรปและญี่ปุ่นประสบกับปัญหาทางเศรษฐกิจ จึงทำให้การส่งออกสับปะรดของไทยไปยังตลาดดังกล่าวชะลอตัวลง

สำหรับการผลิตสับปะรดของไทย แบ่งเป็น 2 ชนิด คือสับปะรดทานสดและสับปะรดโรงงาน ทั้งนี้ จากการสำรวจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพบว่า ขณะนี้มีแนวโน้มของการผลิตสับปะรดทานสดสูงขึ้น เนื่องจากตลาดในอาเซียนและเอเชียมีความต้องการบริโภคที่มากขึ้น เพราะสับปะรดทานสดของไทยมีขนาดผลไม่ใหญ่มากนัก รสชาติหวานกรอบ ปัญหาด้านการเพาะปลูกมีไม่มาก

โดยประเทศไทยสามารถผลิตสับปะรดทานสดได้มากถึงปีละ 2-3 แสนตัน โดยมีประเทศสิงคโปร์เป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ของไทย 1,500-2,000 ตันต่อปี รองลงมาคือ ญี่ปุ่น 250 ตันต่อปีและมาเลเซีย 100-200 ตันต่อปี อย่างไรก็ตาม ไทยสามารถส่งออกได้เพียง 3,000 ตันต่อปี ที่เหลือเป็นการบริโภคในประเทศ โดยสายพันธุ์ที่นิยมปลูกเป็นสับปะรดสำหรับทานสด ได้แก่ นางแล ตราดสีทอง ภูเก็ต สวี และมีบางส่วนเป็นพันธุ์ปัตตาเวียซึ่งเป็นสับปะรดที่ใช้ส่งเข้าโรงงานเป็นหลักซึ่งได้มีการนำมารับประทานสดด้วย

สำหรับสับปะรดโรงงาน ไทยผลิตได้ปีละ 2-2.5 ล้านตัน มีโรงงานสับปะรดกระป๋อง ทั้งสิ้น 34 โรงงาน แปรรูปเป็นสับปะรดอบแห้ง 120,000 ตัน สับปะรดกวน 120,000 ตัน สับปะรดทานสด 250,000 ตัน ที่เหลือเป็นสับปะรดกระป๋อง ทั้งนี้ ประเทศไทยมีรายได้ต่อปีจากการส่งออกสับปะรดกระป๋อง 19,000 ล้านบาท น้ำสับปะรด 6,000 ล้านบาท และสับปะรดกวน 2,000 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นรายได้เข้าประเทศมากกว่า 25,000 ล้านบาทต่อปี นับเป็นรายได้เข้าประเทศที่สูงมากเมื่อเทียบกับสินค้าเกษตรชนิดอื่น ๆ

ล่าสุดจากข้อมูลดังกล่าวกระทรวงเกษตรและสหกรณ์คาดการณ์ไว้ว่า สับปะรดไทยมีแนวโน้มที่ดีในการขยายตลาดการส่งออกไปยังต่างประเทศ เพราะไทยสามารถผลิตสับปะรดได้มาก อย่างไรก็ดี จำเป็นจะต้องมีนโยบายและแผนการบริหารจัดการสับปะรดทั้ง 2 ชนิด ให้แยกออกจากกันอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นแผนการปลูก  ที่ต้องอยู่ใกล้กับพื้นที่โรงงาน ชนิดสายพันธุ์ที่ใช้ปลูก ที่เหมาะสมในการทำเนื้อสับปะรดกระป๋องและน้ำสับปะรด

ที่สำคัญควรมีการวางแผนร่วมกันระหว่างโรงงาน เกษตรกร และภาคการตลาด โดยเฉพาะในระบบ ที่รับรองราคาการรับซื้อ เพื่อให้อุตสาหกรรมสับปะรด ทั้งสับปะรดโรงงานและสับปะรดทานสดมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเป็นระบบ และสอดรับกับความต้องการของตลาดผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศต่อไป.

ปลูกข้าวหนีน้ำท่วมลดความเสียหาย




เกษตรอำเภอฆ้องชัย จังหวัดกาฬสินธุ์ ส่งเสริมชาวนาปลูกข้าวเหลื่อมฤดูหวังแก้ไขปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก และลดความสูญเสียงบประมาณจ่ายค่าชดเชย ตลอดทั้งเป็นการเพิ่มผลผลิตและ คัดพันธุ์ข้าวคุณภาพ
วันนี้ (24 พ.ค.) ที่สำนักงานเกษตรอำเภอฆ้องชัย จ.กาฬสินธุ์ นายสุดใจ  บัวลอย เกษตรอำเภอฆ้องชัย กล่าวว่า พื้นที่ส่วนใหญ่ของอำเภอฆ้องชัย เป็นที่ราบลุ่ม มีแม่น้ำชีไหลผ่าน เหมาะในการทำนาข้าว ประชากรมีอาชีพหลักในการทำนาร้อยละ 90  เกษตรกร 4,356 ครัวเรือน โดยมีพื้นที่ทำนาปีประมาณ 66,000 ไร่  ผลผลิตข้าวนาปีเฉลี่ย 765 ก.ก.ต่อไร่ ขณะที่ทำนาปรังประมาณ 43,973 ไร่ ผลผลิตข้าวนาปรังเฉลี่ย 1,000 ก.ก.ต่อไร่ พันธุ์ข้าวที่ใช้สำหรับทำนาปี ได้แก่ ข้าวเจ้าขาวดอกมะลิ 105 ข้าวเหนียว กข 6 มีผลผลิตโดยรวม 50,493 ตัน  ที่ผ่านมาได้ผลผลิตโดยรวมประมาณ 27,506 ตัน  คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งปีประมาณ 41.2 ล้านบาท

นายสุดใจ กล่าวอีกว่า เนื่องจากสภาพพื้นที่เป็นที่ราบลุ่มดังกล่าว ทำให้เกิดสภาวะน้ำหลากเข้าท่วมพื้นที่นาข้าวทำความเสียหายแก่ผลผลิตเป็นประจำทุกปี เช่น ในปีการผลิต 2554/55 เกิดวิกฤติน้ำท่วมในช่วงเดือนก.ย.-ต.ค. 2554 เกษตรกรอำเภอฆ้องชัยประสบภัยน้ำท่วม 953  ครัวเรือน พื้นที่นาข้าว 8,493 ไร่ สูญเสียผลผลิตที่พึงได้ประมาณ 6,378  ตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 95,673,645 บาท ขณะที่รัฐบาลต้องสูญเสียงบประมาณชดเชยค่าใช้จ่าย และเยียวยาผลผลิตที่พึงได้แก่ผู้ประสบภัย 28,054,792 บาท

“เกษตรอำเภอฆ้องชัย  ตระหนักถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้น จึงได้จัดทำโครงการส่งเสริมการปลูกข้าว เพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์และแก้ไขปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากในพื้นที่  เพื่อเป็นต้นแบบแก่เกษตรกรผู้ประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากและผู้สนใจทั่วไป  โดยส่งเสริมให้เกษตรกรผู้ประสบภัยน้ำท่วมซ้ำซาก  เลื่อนเวลาปลูกข้าวนาปีเร็วกว่าปกติ คือช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย. 2555 พันธุ์ข้าวที่ใช้เป็นข้าวไม่ไวแสง อายุสั้น 3 เดือนได้เก็บเกี่ยว คือพันธุ์ ชัยนาท 1,  กข 10, พิษณุโลก 2, สุพรรณบุรี 60 และปทุมธานี 1  คาดว่าจะเก็บเกี่ยวในเดือนมิ.ย.-ก.ค. 2555 ก่อนถึงฤดูน้ำหลาก ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนช่วงเวลาทำนาปีเพื่อหนีปัญหาน้ำท่วม จากเดิมที่เคยเริ่มเพาะปลูกในเดือนมิ.ย.-ส.ค. และเก็บเกี่ยวช่วงปลายพ.ย.-ธ.ค. ซึ่งจะประสบกับความเสียหายจากภาวะน้ำท่วมซ้ำซาก เป็นทางเลือกในการปลูกข้าวสำหรับเกษตรกร ที่ต้องการผลิตข้าวได้หลายรอบการผลิตในหนึ่งปี  บางปีที่ไม่เกิดภาวะน้ำท่วม หรือบางรายที่วางระบบบริหารจัดการน้ำในแปลงนาได้ดี  อาจเพาะปลูกและได้ผลผลิตข้าวปีละ 3 ครั้งทีเดียว” นายสุดใจ กล่าว.


มัตเตโอเผ่นสิงห์ฯหากได้สัญญาปีเดียว





"ดิ มัตเตโอ" ไปแน่! หาก "สิงห์ฯ" ให้สัญญาแค่ปีเดียว อาจย้ายคุม "วิลลา"
โรแบร์โต ดิ มัตเตโอ กุนซือชั่วคราวของ "สิงห์สำอาง" เชลซี เตรียมโบกมือลาถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ หากสโมสรยังยืนยันมอบสัญญาคุมทีมให้แค่ปีเดียว ทั้งที่ทำผลงานสุดยอดคว้าดับเบิลแชมป์ทั้ง เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก


โรมัน อับราโมวิช เจ้าของทีมเชลซี ยังไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ ดิ มัตเตโอ มากนัก แม้กุนซือวัย 41 ปีทำผลงานได้สุดยอด แต่ ดิ มัตเตโอ เห็นว่าตัวเขาควรได้รับสัญญาระยะยาว เหตุนี้หากข้อเสนอไม่ได้ดั่งใจ ดิ มัตเตโอ พร้อมจะลาออกย้ายไปคุม แอสตัน วิลลา ที่ยังไม่มีกุนซือ.

แสดงความคิดเห็น

ม้าลายหวังตัดหน้าแย่งดร็อกบา





"ดร็อกบา" อาจคิดหนัก หลัง "ยูเว่" ยื่นข้อเสนอล่อใจไม่ให้ไปจีน
วันนี้(24 พ.ค.) ดิดิเยร์ ดร็อกบา หัวหอกจอมถึกชาวไอวอรี โคสต์ อาจได้ขนข้าวของย้ายไปเล่นยังถิ่นตูรินของ "ม้าลาย" ยูเวนตุส ในฤดูกาลหน้า หลังเพิ่งได้รับข้อเสนอเงินค่าเหนื่อย 80,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์


สำหรับ ดร็อกบา แถลงการณ์แล้วว่าจะโบกมือลา เชลซี โดยคาดกันว่าเขาจะย้ายไป เซี่ยงไฮ้ เสิ่นหัว เพื่อรับค่าเหนื่อยมหาศาล 10 ล้านปอนด์ต่อปี ส่วน ยูเวนตุส แม้จ่ายเงินน้อยกว่าครึ่ง แต่ถือว่าเป็นทีมระดับบิ๊กเนมของโลก


ขณะเดียวกันมีรายงานว่า เชลซี ให้ความสนใจ เซย์ดู ดุมเบีย กองหน้าของซีเอสเคเอ มอสโก ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชาติของ ดร็อกบา โดยหอกวัย 24 ปีรายนี้มีค่าตัว 26 ล้านปอนด์.

"ยอโควิช"รับหวั่น"นาดาล"หวดเฟรนช์




"ยอโควิช" ยอมรับ สุดหวั่น "นาดาล" ในเฟรนช์ โอเพ่น แต่ยืนยันขอสู้เต็มที่
โนวัค ยอโควิช นักเทนนิสมือ 1 ของโลก จากเซอร์เบีย ยอมรับว่า ราฟาเอล นาดาล แชมป์เก่า จากสเปน คือคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวที่สุด ในการแข่งขันเทนนิสเฟรนช์ โอเพ่น รายการแกรนด์สแลม ที่ 2 ของปี ที่โรลังด์ การ์รอส ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งจะเริ่มต้นในวันอาทิตย์ที่ 27 พ.ค. นี้


นาดาล เพิ่งเอาชนะ ยอโควิช 2 เซตรวด 7-5, 6-3 ในการพบกันครั้งล่าสุด ในศึกโรม มาสเตอร์ส รอบชิงชนะเลิศ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา และคอร์ตดินถือเป็นพื้นคอร์ตที่ นาดาล ถนัดมากที่สุด ทำให้ ยอโควิช ยอมรับว่า นาดาล คือคนที่มีโอกาสคว้าแชมป์มากที่สุด ที่โรลังด์ การ์รอส


ยอโควิช เผยว่า นาดาล คือแชมป์เก่า และเพิ่งแพ้ไปแค่แมตช์เดียวในการเล่นที่คอร์ตฟิลิปป์ ชาติเยร์ ซึ่งเป็นเซ็นเตอร์คอร์ตของ เฟรนช์ โอเพ่น ดังนั้น ใครที่เล่นกับ นาดาล ในรายการนี้ จึงรู้ดีว่า จะต้องพบกับงานที่หนักสุด ๆ แต่อย่างไรก็ตาม ยอโควิช ก็ยืนยันว่า ตนเองจะพยายามทำให้ดีที่สุด และด้วยผลงานการพบกันตัวต่อตัวกับ นาดาล ที่ดีขึ้นในช่วงหลัง ยังทำให้นักหวดหนุ่มเซิร์บที่เพิ่งอายุครบ 25 ปีเต็ม มีความมั่นใจมากขึ้นด้วย


ด้าน นาดาล กำลังลุ้นแชมป์เฟรนช์ โอเพ่น สมัยที่ 7 และถ้าหากทำได้จะถือเป็นแชมป์แกรนด์สแลมรายการที่ 11 ในชีวิต และจะทำให้เขาได้แชมป์แกรนด์สแลมเท่ากับสุดยอดนักเทนนิสในตำนานอย่าง บียอร์ก บอร์ก ของสวีเดน และ ร็อด เลเวอร์ ของออสเตรเลีย.

ขนไก่สาวไทยพ่ายจีน0-3คู่ร่วงรอบตัดเชือกอูเบอร์คัพ




ทีมขนไก่สาวไทยร่วงรอบตัดเชือกศึก "อูเบอร์คัพ" ตามคาด หลัง “น้องพีช”พรทิพย์ บูรณะประเสริฐสุข พ่ายนักตบลูกขนไก่สาวจีน 2 เกมรวด ส่งผลให้สาวไทยแพ้ขาด 0-3 คู่
การแข่งขันแบดมินตันทีมหญิงชิงแชมป์โลก “อูเบอร์คัพ” ที่เมืองหวู่ฮั่น ประเทศจีน วันนี้ ( 24 พ.ค.) ทีมนักตบลูกขนไก่สาวไทย ลงแข่งขันในรอบรองชนะเลิศ พบกับ “เจ้าภาพ” จีน โดยเดี่ยวมือหนึ่ง “น้องเมย์” รัชนก อินทนนท์ มือ 10 ของโลก แม้จะโชว์ฟอร์มได้ดี และเล่นได้อย่างสูสี แต่ก็ตบออกหลายครั้ง ทำให้พ่าย หวัง ยี้ฮาน มือ 1 ของโลก 0-2 เกม 18-21, 15-21 ส่งผลให้ทีมไทยตามอยู่ 0-1 คู่ ส่วนคู่ที่กำลังแข่งขันอยู่ขณะนี้  คู่มือหนึ่ง “หญิง”ดวงอนงค์ อรุณเกสร กับ “โอ๋” กุลชลา วรวิจิตรชัยกุล คู่มือ 25 ของโลก พบกับ ยู หยาง/ หวัง เสี่ยวลี่ คู่มือ 1 ของโลก

จากนั้นคู่ที่สอง คู่มือหนึ่ง “หญิง”ดวงอนงค์ อรุณเกสร กับ “โอ๋” กุลชลา วรวิจิตรชัยกุล คู่มือ 25 ของโลก ต้านทานความแข็งแกร่งของ ยู หยาง/ หวัง เสี่ยวลี่ คู่มือ 1 ของโลก ไม่ไหว พ่ายไปอีก 0-2 เกม 16-21, 12-21 ทำให้ “สาวแดนมังกร” หนีห่างไทยไป 2-0 คู่

เข้าสู่คู่ที่สาม เดี่ยวมือสอง “น้องพีช”พรทิพย์ บูรณะประเสริฐสุข มือ 17 ของโลก พบกับ หวัง ซิ้น มือ 2 ของโลก ซึ่งหากคู่นี้ น้องพีช ไม่สามารถเก็บชัยชนะได้ ทีมสาวไทยจะแพ้ทันที ซึ่งผลปรากฏว่า แม้ พรทิพย์ จะสู้อย่างเต็มที่ แต่สาวจีนเล่นได้อย่างสุดยอดก่อนเอาชนะไปได้ 2-0 เกม 21-17, 21-2 ทำให้ จีน ชนะ ไทย 3-0 คู่ และผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศไปพบกับ เกาหลีใต้ ที่ชนะ ญี่ปุ่น มา 3-0 คู่ ในวันที่ 26     พ.ค.นี้ เวลา 13.00 น.ตามเวลาประเทศไทย โดยคู่ชิงชนะเลิศคู่นี้เคยพบกันมาแล้วในปี 2010 และเกาหลีใต้ พลิกล็อกเอาชนะ จีน ซึ่งขณะนั้นเป็นแชมป์ 5 สมัยซ้อนพร้อมกับคว้าแชมป์ไปได้.

แฟนเพลงซึม น้ำตาร่วง ปิดตำนาน“เค-โอติค”






ออกมาบอกกล่าวยุติการทำเพลงของศิลปินบอยแบนด์ในนาม วงเค-โอติค ล่าสุดทั้ง 5 หนุ่ม ป๊อปปี้-ภาณุ, เขื่อน-ภัทรดนัย, เคนตะ ซึทจิยะ, โทโมะ-วิศว และ จงเบ ปาร์ค ก็พร้อมใจมาแถลงข่าวร่วมกันอย่างเป็นทางการ เตรียมส่งท้ายคอนเสิร์ตใหญ่เป็นการปิดตำนาน “เค-โอติค เดอะ เมมโมรี่” ท่ามกลางบรรยากาศสุดเศร้า โดยมีแฟนคลับแห่มาให้กำลังใจเพียบ หลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เล่นเอาแฟน ๆ น้ำตาร่วงกันเป็นแถว

เริ่มต้นที่ จงเบ สมาชิกหนุ่มสัญชาติเกาหลี ที่ต้องถึงเกณฑ์กลับไปรับใช้ชาติในช่วงต้นเดือน ส.ค. นี้ ซึ่งเจ้าตัวเผยด้วยความอาลัยว่า “ผมก็รู้ เรื่องการเกณฑ์ทหารมานานพอสมควรแล้ว เพราะรู้หน้าที่อยู่ว่า...ลูกผู้ชายเกาหลีทุกคนต้องมีหน้าที่รับใช้ชาติด้วยการเกณฑ์ทหาร ก็ถึงเวลาแล้วล่ะ เพราะผมกำลังอายุครบ 24 ปีพอดี คงถึงเวลาต้องไปเป็นทหารประมาณ 21 เดือน หรือ 2 ปี และ 5 ปีของผมกับการเป็นศิลปิน เค-โอติค ค่อนข้างสำคัญกับผมมาก มันคือส่วนหนึ่งของชีวิตของผม ขอบคุณมาก ๆ ครับ ที่ทุกคนรักผมตลอดมา ถ้าปลดจากการประจำการเมื่อไรผมอยากกลับมานะ ยังคิดถึงเมืองไทย”

ส่วน ป๊อปปี้ เสริมว่า “ตอนรู้เรื่องก็ค่อนข้างใจหายเหมือนกันครับ เพราะไม่คิดว่าจงเบต้องไปเร็วขนาดนี้ ที่สำคัญเป็นห่วงความรู้สึกของแฟน ๆ เพลงของพวกเรา ซึ่งผมอยากจะขอโทษทุก ๆ คน แต่ด้วยภาระหน้าที่หลาย ๆ อย่าง ของทุกคนที่ต้องรับผิดชอบ ป๊อปยังคงรักและคิดถึงทุกคนเสมอ ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็ตาม ป๊อปสัญญา” ด้าน หนุ่มเขื่อน....“สำหรับเขื่อน ช่วงเวลาหนึ่งที่พิเศษมาก ๆ และทำให้ผมมีความสุขที่สุดครับ มาทำงานแต่บรรยากาศกลับไม่เหมือนการทำงาน เหมือนเวลาสนุก ๆ ที่เราจะได้มาเจอเพื่อน ๆ กันมากกว่า ที่สำคัญเราทั้งหมดมีเป้าหมายร่วมกัน คือ การได้ทำงานที่ทุกคนรัก คือ การร้องเพลง ซึ่งการเดินจากไปเป็นทหารของจงเบ แม้จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของการเป็น เค-โอติค แต่สำหรับผม เค-โอติค จะอยู่ในใจผม และทุก ๆ คนตลอดไป ขอบคุณที่เดินทางมาด้วยกัน”

มาถึง เคนตะ กล่าวว่า “ผมอยากจะย้ำตรงนี้ เค-โอติค คือ ประสบการณ์ที่ผมประทับใจมากที่สุดในชีวิต มันเป็นเหมือนความฝันครับ ที่ผมได้มายืนอยู่ตรงนี้ ได้มาร้องได้มาเต้นได้มาเป็นหนึ่งในสมาชิก ถ้าไม่ได้รับความรักความอบอุ่นจากแฟนคลับเค-โอติค คงไม่ได้มาถึงวันนี้ ขอบคุณแฟนคลับทุกคนที่ยืนเคียงข้างกันมาไม่ใช่ให้โอกาสเฉพาะตัวผมเองการเป็นศิลปินเท่านั้น แต่ยังให้โอกาสให้ผมได้ทำงานดูแลครอบครัวของผมด้วย” ปิดท้ายที่ โทโมะ ที่แจงว่า “ก่อนอื่นเลยต้องขอบคุณเพื่อน ๆ เค-โอติคทุกคน ที่เดินทางมาด้วยกัน แม้ในระหว่างทางจะพบทั้งความสุข-ทุกข์-เหนื่อย-ท้อ ฯลฯ แต่เรายังเดินเคียงข้างกันมาตลอด และคนที่เดินเคียงข้างเรามาอีกมากมาย ก็คือ แฟนคลับทุก ๆ คน ผมประทับใจเพื่อน ๆ ทุกคนครับ”

สำหรับ เค-โอติค จะมีผลงานเพลงส่งท้ายปิดอัลบั้ม “เรียล” ชื่อเพลง ’เพื่อน“ (FRIENDS) เพลงที่บอกเล่าถึงช่วงเวลาดี ๆที่พวกเขาได้ใช้ร่วมกันด้วย.

แฟนคลับเก้อรอ"กาก้า"แต่ได้กรี๊ดแฟนหนุ่ม"เทย์เลอร์"




แฟนคลับดักรอหน้าโรงแรม แต่ไร้แวว"กาก้า" แต่ได้กรี๊ดแฟนหนุ่มศิลปินดัง "เทย์เลอร์ คินนีย์"ที่บินด่วนมาให้กำลังใจนักร้องสาวแทน ยันสัมพันธ์รักไม่สะบั้นตามข่าวลือ ตำรวจวางกำลังเกือบพันนายดูแลความเรียบร้อย ส่วนเวทีแสดงสุดอลังการ
วันนี้ (24 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่โรงแรมเซนต์รีจิส แบงก์คอก ถนนราชดำริ ที่พักของนักร้องสาวซ่าแห่งยุค “เลดี้ กาก้า” มีแฟนคลับชาวไทยและต่างชาติ อาทิ เกาหลี ญี่ปุ่น กว่า 50 คนมาปักหลักเฝ้ารอตั้งแต่ช่วงเช้าหวังการปรากฏตัวของนักร้องเจ้าของบทเพลงชื่อดังอย่าง Telephone (เทเลโฟน) Bad Romance (แบดโรแมนซ์)   โดยทางโรงแรมได้นำแผงเหล็กสีขาวมากั้นหน้าประตูทางเข้าตลอดแนวถนนหน้าโรงแรม และอนุญาตให้แฟนคลับและสื่อมวลชนที่มารอทำข่าวอยู่ในพื้นที่ๆ กำหนด โดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงแรมดูแลความเรียบร้อยกว่า 10 คน

ขณะที่ริมถนนด้านหน้ามีรถยนต์ตำรวจท่องเที่ยว 1 คน และมอเตอร์ไซด์ 3 คัน จอดรอ บรรดาแฟนคลับต่างพยายามเช็กความเคลื่อนไหวของนักร้องชื่อดังจากพนักงานโรงแรมและพูดคุยสอบถามกันทางโชเชียลเน็ตเวิร์กทั้งในทวิสเตอร์และเฟซบุ๊ก  ซึ่งในกลุ่มสาวกของกาก้ามีการอัพเดทข้อมูลกันอยู่ตลอดเวลา

พนักงานของโรงแรมรายหนึ่งให้ข้อมูลว่าในเวลา 11.00 น. กาก้าจะไปเที่ยวห้างสยามพารากอนกลุ่มแฟนคลับจึงพากันดักรอหน้าประตูทางเข้าด้านหน้า รวมทั้งประตูข้างแต่รอจนถึงเที่ยงก็ยังไร้วี่แววศิลปินดัง ทำให้บรรดาแฟนคลับต่างผิดหวังท่ามกลางการเฝ้ารอกลางแสงแดดจัด


ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า นอกจากนี้มีข่าวลือว่านักร้องดังได้เดินทางออกไปจากโรงแรมแล้ว โดยไปปรากฏตัวอยู่ในย่านเยาวราช แฟนคลับบางคนที่จำทีมงานและบอดี้การ์ดเลดี้กาก้าที่เดินผ่านเข้าประตูโรงแรมจึงเข้าไปสอบถามข้อมูลและได้รับการยืนยันว่าเลดี้ กาก้า ยังคงพักผ่อนอยู่ภายในโรงแรม และอาจจะออกไปช่วงบ่าย จนกระทั่งเมื่อเวลา 11.30 น.นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ เดินทางมายังโรงแรมนานกว่า 1 ชม. คาดว่ามาพบทีมงานกาก้าก่อนเดินทางกลับไป โดยแฟนคลับยังคงตั้งหน้าตั้งตาเฝ้ารอนักร้องคนโปรดกันอย่างไม่ย่อท้อ  ถึงขนาดไม่ยอมไปทานอาหารกลางที่ร้านไกลออกไป โดยพากันนั่งกินมาม่า รอกาก้าหน้าประตูโรงแรม ขณะที่โรงแรมให้พนักงานนำน้ำมาแจกจ่ายอย่างทั่วถึง

กระทั่ง 15.00 น. ทางพนักงานได้รับแจ้งจากเลดี้ กาก้า ว่าให้คนขับรถไปรับแฟนหนุ่มที่สนามบินสุวรรณภูมิจึงยังไม่เดินทางไปไหน และขอยกเลิกคิวงานทั้งหมดก่อนจนกว่าแฟนหนุ่มจะเดินทางมา  

จนเวลา 16.50 น. เทย์เลอร์ คินนีย์ แฟนหนุ่มนักแสดงและนายแบบหนุ่มหุ่นล่ำของเลดี้ กาก้า ที่พบรักเมื่อปีที่แล้วในขณะถ่ายทำมิวสิกวิดีโอ ยู แอนด์ ไอ ของเลดี้ กาก้า แต่หลังจากเลดี้ กาก้า ออกมาเวิลด์ทัวร์คอนเสิร์ตมีข่าวว่าทั้งคู่ได้ระงับความสัมพันธ์บอกลากันไปแล้วด้วยเหตุเพราะนักร้องสาวงานยุ่ง แต่ปรากฎว่าแฟนหนุ่มของเลดี้ กาก้า ได้มาปรากฎตัวต่อหน้าแฟนคลับของกาก้าที่โรงแรมที่พักนักร้องสาวในเมืองไทย จึงเป็นที่ยืนยันว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยังราบรื่น

โดยเทเลอร์เดินทางด้วยรถเบนซ์สีดำมาถึงหน้าโรงแรมในชุดกางเกงยีนส์เสื้อยืดสีครีมโชว์หุ่นล่ำปีกใส่หมวกแก๊ปสะพายเป้สีดำ บรรดาแฟนคลับของกาก้าพากันส่งเสียงกรี๊ด ขณะที่แฟนหนุ่มกาก้าได้โบกมือทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มก่อนเข้าโรงแรม  ล่าสุดเวลา 19.00 น.กาก้าพร้อมแฟนหนุ่มยังเก็บตัวเงียบในโรงแรม

ส่วนที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน ซึ่งเป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ต"กาก้า" ในวันที่ 25 พ.ค.นั้น  พล.ต.ต.ชาญ วิมลศรี ผบก.น.4 ได้เรียกประชุมตำรวจเพื่อเตรียมความพร้อมรักษาความปลอดภัย โดยจะวางจุดตรวจตราทั้งภายในและภายนอกงาน เนื่องจากในวันงาน พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ และบุคคลสำคัญอาทิ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางมาร่วมงานด้วย  ภายในงานจะวางกำลังตำรวจ 902 นาย จาก บกน.4 อคฝ. บก.จร. และหน่วยอรินทราช

ทั้งนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เตรียมอุปกรณ์การสื่อสารให้พร้อมเนื่องจากต้องดูแลนานกว่า 12 ช.ม. โดยขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่เดินทางมาดูคอนเสิร์ตอย่านำสิ่งของมีค่าเก็บไว้ในรถส่วนตัวโดยเด็ดขาดเนื่องจากอาจจะตกเป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพที่ชอบตระเวนงัดกระจกรถ  

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่าด้านการจัดเตรียมเวทีนั้น ได้ตั้งเวทีฝั่งทิศตะวันออก หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นฝั่งที่ไม่มีหลังคา โดยระดมคนงานนับร้อยคนสร้างเวทีอลังการกว้างราว 50 เมตร ประดับเวทีในรูปแบบปราสาทหรือพระราชวัง มีเครื่องเสียงเพียบพร้อม.

รถตู้ชิมิ ชิมิ ถูกจยย.ชน บลูเบอร์รี่ปลอดภัย





รถตู้ชิมิ ชิมิ วงบลูเบอร์รี่ถูก จักรยานยนต์พุ่งชนท้ายรถได้รับความเสียหาย ขณะกำลังเดินทางไปแสดงคอนเสิร์ตใน อ.บ่อพลอย สมาชิกวงปลอดภัย ส่วนสก๊อยสาวได้รับบาดเจ็บ
ช่วงค่ำ วันนี้ (24 พ.ค.)  พ.ต.ท.สหชัย พูนขวัญ พนักงานสอบสวน สภ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี รับแจ้งเหตุรถ จยย.ชนท้ายรถตู้ บริเวณถนนแสงชูโตขาเข้าเมืองกาญจนบุรี หน้าปั๊มแก๊ส หมู่ 1 ต.ท่าล้อ อ.ท่าม่วง  จึงพร้อมด้วย จนท.มูลนิธิมิราเคิล ออฟไลน์ รุดไปที่เกิดเหตุ พบรถตู้ยี่ห้อโตโยต้า สีบอร์นเงิน ทะเบียน ฮธ 2579 กรุงเทพมหานคร ถูกรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า  คลิก สีขาว ทะเบียน 613 กาญจนบุรี ชนเข้าที่กันชนด้านท้าย จนผู้ขับขี่ รถ จยย. ร่วงตกมาจากรถ นั่งร้องโอดโอยอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ ทราบชื่อคือ น.ส.สิริพร ห่วงเทพ อายุ 23 ปี ชาวจ.ราชบุรี ได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้าขวา เจ้าหน้าที่ปฐมพยาบาลเบื้องต้น และนำส่ง ร.พ.ท่าม่วง

จากการสอบสวนทราบว่า รถตู้คันดังกล่าวมีผู้โดยสารมาด้วยกัน 5 คน เป็นศิลปินวงบลูเบอร์รี่ อาร์สยาม 3 คน โบว์-วันทิพย์ ศรีทองท้วม ออม-เพลินศิลป์ เกตุแก้ว และหนูเล็ก-เบญจวรรณ โภคทรัพย์ วงลูกทุ่งกึ่งป็อบชื่อดัง รวมถึงผู้ติดตาม 2 คน ได้ออกเดินทางมาจากกรุงเทพฯเพื่อเดินทางไปแสดงคอนเสิร์ตที่ อ.บ่อพลอย พอมาถึงที่เกิดเหตุคนขับรถยนต์คือนายสายัณห์ จำปาหล่อ อายุ 46 ปี ได้เปิดไฟเลี้ยวซ้ายเพื่อจะขับเข้าไปในปั๊มแก๊ส ได้มี รถ จยย.เบรกไม่ทันพุ่งเข้าชนที่กันชนท้ายรถ ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ส่วนศิลปินทั้ง 3 คนที่นั่งมาด้วยไม่มีอาการตื่นตกใจ และไม่ได้รับบาดเจ็บ  จากนั้นได้เปลี่ยนรถตู้อีกคันหนึ่ง เพื่อรีบเดินทางไปแสดงคอนเสริต์ที่ อ.บ่อพลอย ซึ่งเจ้าหน้าที่จะสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป.

สุดเหิมล้อมรถเมล์ปิดถนนยิงคู่อริผู้โดยสารเจ็บ








สุดเหิมนักเรียน-นักเลงล้อมรถเมล์ชักมีดดาบฟันรถ ขู่ให้จอดโชเฟอร์ไม่ยอมเดือดยิงใส่คู่อริ ผู้โดยสารโดนลูกหลงเจ็บ1
เมื่อเวลา 08.10 น. วันนี้ (24 พ.ค.)  ร.ต.อ.(หญิง) แองจิรา  เชื้อทะเล  พงส.(สบ1) สน.บางนารับแจ้งเหตุนักเรียนทะเลาะวิวาทมีผู้ได้รับบาดเจ็บที่ถนนสุขุมวิท ขาเข้า ใกล้กับสถานีรถไฟบีทีเอสบางนา แขวงและเขตบางนา ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมพ.ต.ท.สิทธิศักดิ์  นาคามาตย์ สว.สส.สน.บางนา ชุดสืบสวน เจ้าหน้าที่สายตรวจและเจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู


ที่เกิดเหตุพบรถเมล์ปรับอากาศสีครีมสาย129 วิ่งระหว่างสำโรง-อู่บางเขน หมายเลขทะเบียน12-5877 กรุงเทพมหานคร  มีนายธีระ ธรรมเริง อายุ 39 ปีเป็นผู้ขับ และมีน.ส.อารมย์ พันธุ์บุตร อายุ 30 ปี เป็นกระเป๋ารถเมล์  สภาพรถกระจกด้านหน้ามีรอยแตกร้าว กระจกข้างฝั่งซ้ายมีรอยโดนมีดดาบฟันเป็นทางยาว 5 นิ้ว มีรอยกระสุนปืนที่กระจกตรงเบาะด้านหลังห่างประตูมา 2 แถว  2 นัด ส่วนผู้บาดเจ็บนำส่งรพ.ปิยะมินทร์ ทราบชื่อนายทศพล ใจเกื้อ อายุ 20 ปี พนักงานธุรการฝ่ายการเงิน สำนักงานใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์  พบถูกยิงด้วยกระสุนไม่ทราบขนาดเข้าสะบักหลังซ้าย กระสุนฝังใน  เบื้องต้นแพทย์ให้การช่วยเหลือจนอาการปลอดภัย


สอบสวนนายธีระ  ให้การหน้าตาตื่นว่า  ขับรถออกจากอู่สำโรงมุ่งหน้าขึ้นทางด่วนบริเวณแยกบางนาเพื่อจะไปที่อู่บางเขน  มีผู้โดยสารมาเต็มคันรถ พอถึงจุดเกิดเหตุมีนักเรียนสถาบันแห่งหนึ่งย่านบางจาก กรูกันลงมาบนถนน โดยเอาไม้มาขวางไว้ ตนพยายามหักรถหลบ ทางกลุ่มนักเรียนใช้มีดดาบฟันกระจกรถพร้อมกับเอาเท้าถีบประตู เอาปืนยิงใส่กลุ่มนักเรียนคู่อริที่โดยสารอยู่บนรถ แต่กระสุนโดนผู้โดยสารที่ยืนอยู่เบาะหลัง ก่อนหลบหนีไป


นายทศพลให้การด้วยใบหน้าอิดโรยว่า  ขึ้นรถเมล์สายดังกล่าวเพื่อลงป้ายรถเมล์ใหญ่ย่านสำโรงต่อรถไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ ย่านรัชโยธิน โดยพึ่งเริ่มงานได้ 1 เดือน  ถึงจุดเกิดเหตุ เห็นกลุ่มวัยรุ่นกรูกันเข้ามาที่รถ พร้อมยิงปืนเข้ามา ตนรู้สึกตัวสุดท้ายว่าถูกยิงและล้มลงก่อนมีพลเมืองดีนำส่งรพ.


ต่อมาเจ้าหน้าที่นำตัวกลุ่มนักเรียนโรงเรียนคู่อริ 5 คนที่ถูกรุมทำร้ายบนรถคันดังกล่าวมาสอบปากคำ  ต่างให้การว่า  ขึ้นรถที่อู่รถเมล์สาย 129เพื่อไปร่วมปฐมนิเทศวันแรกที่โรงเรียนโดยเลือกขึ้นรถปรับอากาศเพราะกลัวว่าจะถูกคู่อริดักทำร้าย พอมาถึงบริเวณย่านสำโรง เห็นนักเรียนคู่อริ 10 กว่าคน มายืนรอที่ป้ายรถเมล์และเห็นกลุ่มพวกตน จึงพยายามวิ่งกรูขึ้นรถเพื่อทำร้ายแต่รถไม่จอด ต่อมามีรถเมล์สาย 25 ขับมาซึ่งมีนักเรียนโรงเรียนคู่อรินั่งอยู่เต็มรถ วิ่งแซงและดักรอที่จุดเกิดเหตุ เมื่อรถมาถึงก็กรูกันมาขวางรถปิดถนนเพื่อทำร้ายพวกตน พวกตนจึงไปหลบอยู่แถวหลัง ทางคู่อริใช้ทั้งมีดฟันและเท้าถีบประตู ก่อนจะควักปืนยิงใส่รถ 3 นัด แต่กระสุนพลาดไปโดนผู้โดยสารที่อยู่ข้างตนได้รับบาดเจ็บ ก่อนที่ทั้งหมดจะหลบหนีไป


เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ภาพวงจรปิดจากสถานีรถไฟบีทีเอส รู้ตัวกลุ่มนักเรียนที่ก่อเหตุทั้งหมดแล้ว และจะประสานกับทางอาจารย์ของโรงเรียนเพื่อนำตัวกลุ่มนักเรียนทั้งหมดมาดำเนินคดีต่อไป.

ร้องดีเอสไอสอบ"แป๊ะเจี๊ยะ"กราวรูด-ผู้ปกครองขู่เผาตัวเองประท้วง





เครือข่ายต่อต้านทุจริตคอร์รัปชั่น ร้องดีเอสไอสอบแป๊ะเจี๊ยะ เผยผู้ปกครองเตรียมเผาตัวเองประท้วงหากรัฐบาลไม่ยกเลิกการตัดสิทธิ์เด็กม.3 เข้าม. 4 ทั้งหมด
เมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ (24 พ.ค.) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กลุ่มภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นของชาติ(ภตช.) 9 องค์กร นำโดยนายมงคลกิตติ์  สุขสินธารานนท์ เลขาธิการ ภตช.   เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายธาริต  เพ็งดิษฐ์  อธิบดีดีเอสไอ เพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการรับสินบน หรือแป๊ะเจี๊ยะในสถานศึกษา และตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของผู้บริหารโรงเรียนที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียกรับแป๊ะเจี๊ยะ เพื่อให้ได้เข้าเรียนในระดับมัธยมศึกษา ระดับป.6 ขึ้นม.1 และระดับ ม.3 ขึ้น ม. 4


นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า ภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นของชาติได้รับเรื่องร้องเรียนจากเครือข่ายผู้ปกครองจากทั่วประเทศว่าได้รับความเดือดร้อน เพราะมีโรงเรียนในระดับมัธยมศึกษาชั้นนำหลายแห่งที่การแข่งขันสูงเรียกค่าแป๊ะเจี๊ยะจากผู้ปกครอง  จึงเป็นตัวแทนผู้ปกครองจากทั่วประเทศนำเอกสารหลักฐานมายื่นให้ดีเอสไอ เข้าตรวจสอบข้อเท็จจริง  โดยข้อมูลที่พบมีการเรียกค่าแป๊ะเจี๊ยะจากผู้ปกครองตั้งแต่ 50,000-1,500,000 บาท  กรณีดังกล่าวถือเป็นการทำให้นักเรียนไม่มีโอกาสเข้าเรียนตามศักยภาพของตนเอง จึงขอเรียกร้องให้ดีเอสไอเข้ามาสอบสวนในเรื่องนี้ พร้อมทั้งตรวจสอบบัญชี ทรัพย์สิน และความเคลื่อนไหวในการทำธุรกรรมทางการเงินของผู้บริหาร  นายกสมาคมครูและผู้ปกครอง ,ประธานเครือข่ายผู้ปกครอง และผู้เกี่ยวข้องกับสถานศึกษา ที่อาจมีการเรียกรับสินบนดังกล่าว เพื่อให้สังคมไทยปลอดจากการทุจริตคอร์รัปชั่นและเป็นบรรทัดฐานที่ถูกต้องเป็นธรรมให้กับสังคมต่อไป


ด้านนายวิวัฒน์ชัย คุณมาตร  ที่ปรึกษากฎหมาย ภตช. เปิดเผยว่า ในวันที่ 29 พ.ค.นี้ ระหว่างการประชุม คณะรัฐมนตรี(ครม.) กลุ่มเครือข่ายผู้ปกครองที่ได้รับความเดือดร้อนจากกรณีดังกล่าวได้นัดหมายรวมตัวประท้วงบริเวณหน้าประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล เพื่อให้ยกเลิกระเบียบการเลื่อนชั้นจากม.3 สามารถเรียนต่อ ม.4 ได้ทันที ไม่มีคัดออก  หากไม่ดำเนินการตามข้อเรียกร้องมีผู้ปกครองนักเรียนรายหนึ่งประกาศว่าจะขอเผาตัวเองเพื่อให้เป็นตัวอย่างในการเรียกร้องความเป็นธรรมเช่นเดียวกับประเทศเกาหลีที่มีผู้ปกครองและนักเรียนออกมารวมตัวกันต่อต้านอย่างจริงจัง  โดยผู้ปกครองรายดังกล่าวประกอบอาชีพขายขนมครกหน้าโรงเรียนบดินทรเดชา 1 ซึ่งลูกสาวจบ ม.3 แต่ถูกตัดสิทธิ์เพราะไม่มีเงินไปจ่ายให้โรงเรียนแห่งนี้เป็นเงิน  1 แสนบาท


ด้านนายธาริต  กล่าวว่า ดีเอสไอจะขอตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน  หากพบว่ามีการกระทำความผิดก็พร้อมรับไปดำเนินการสอบสวนตามต่อไป  เบื้องต้นคงยังไม่สามารถให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวได้เพราะยังไม่ได้ตรวจสอบเอกสารที่มีการร้องเรียกเข้ามา ดังนั้นขอเวลาให้ดีเอสไอทำงานก่อน  ยืนยันว่าจะทำงานอย่างตรงไปตรงมา

รวบต่างชาติมอมยาแบล็กเมล์เรียก2ล้าน





รวบต่างชาติมอมยาถ่ายโป๊แบล็กเมล์เหยื่อส่งให้ลูกชายดูเรียก 2 ล้าน แต่ลูกบอกน้าแจ้งความตามจับได้ สารภาพหาเงินเลี้ยงลูกเมีย
เมื่อเวลา 14.30 น. วันนี้ (24 พ.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. พล.ต.ต.พิสิฏฐ์ พิสุทธิ์ศักดิ์ รอง ผบช.น .แถลงจับกุมนายบราฮิม จาลูลี หรือแดเนียล อายุ 36 ปี สัญชาติไนจีเรีย ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุจับหญิงสาวเรียกค่าไถ่ พร้อมของกลางยานอนหลับ สก๊อตเทป และเชือกจับได้ที่หน้าห้อง 833  ชั้น 8 โรงแรมโรแมนซ์อินน์ ซอยสุขุมวิท 97 แขวงบางจาก เขตพระโขนง กทม.



พล.ต.ท.วินัย กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 22 พ.ค.  ผู้ต้องหาได้พานางกฤติยา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 53 ปี อาชีพทำธุรกิจทัวร์และขายอาหารเสริม ขึ้นรถเก๋งวอลโว่ เอส 60  ทะเบียน  กรุงเทพมหานคร ออกไปจากบ้านพักย่านประเวศ และเช่าโรงแรมโรแมนซ์อินน์ ซอยสุขุมวิท 97 ก่อนจะแอบผสมยานอนหลับให้กินครั้งละ 3 เม็ด รวม 4 ครั้ง จนผู้เสียหายสะลึมสะลือ จากนั้นวันที่ 23 พ.ค.เวลา 20.49 น. ผู้ต้องหาได้ส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือ เป็นรูปเปลือยของผู้เสียหาย ไปในโทรศัพท์มือถือลูกชายผู้เสียหายที่ประเทศอังกฤษ เพื่อให้ส่งเงิน 2 ล้านบาท มาให้แลกกับการปล่อยตัวมารดา




พล.ต.ท.วินัย กล่าวอีกว่า ผู้เสียหายรู้จักกับนายแดเนียลทางอินเทอร์เน็ต จากนั้นนายแดเนียลได้เดินทางมาจากประเทศมาเลเซีย เพื่อมาพบผู้เสียหาย โดยเดินทางมาได้ประมาณ 9 วันและก่อเหตุจับตัวผู้เสียหายไปเรียกค่าไถ่ จากนั้นลูกชายผู้เสียหาย ได้โทรศัพท์ประสานน้าชาย ให้แจ้งความกับตำรวจ ต่อมาจึงมีการแจ้งความที่ สน.พระโขนง ทางตำรวจจึงตรวจสอบหาแหล่งที่มาก่อนติดตามจับกุมได้  โดยตรวจดูภาพจากอีเมล์ที่ผู้ต้องหาส่งให้ลูกชายผู้เสียหาย พบว่าสามารถจดจำห้องพักได้ เพราะเคยไปนอนพักมาก่อน จึงให้ฝ่ายสืบสวนขับขี่รถจยย.ไปตรวจสอบก็พบรถวอลโว่ของผู้เสียหายจอดอยู่ จึงตรวจเช็ก และขึ้นไปควบคุมตัวผู้ต้องหาได้ด้านหน้าห้องพักดังกล่าว




ด้านนายแดนนี่รับสารภาพว่า รู้จักกันมา 3-4 เดือน ผ่านทางอินเทอร์เน็ต จากนั้นได้ติดต่อกันผ่านโปรแกรมสไกป์มาตลอด กระทั่งต่อมาได้เดินทางมาที่ประเทศไทย จึงวางแผนจะเรียกค่าตัว เพราะต้องการทรัพย์สินจึงให้กินยานอนหลับและข่มขู่เรียกค่าไถ่ไป 2 ล้านบาท เพราะต้องการเงินเนื่องจากมีภรรยาเป็นชาวมาเลเซียและมีลูก 2 คน  ตอนนี้รู้สึกเสียใจที่ทำลงไปเพราะนางกฤติยา เป็นคนดีมาก แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจทำร้าย




สำหรับนางกฤติยา นอกจากทำธุรกิจทัวร์และขายอาหารเสริม ยังเป็นอาจารย์สอนวิปัสสนาอีกด้วย โดยภายหลังจากถูกมอมยา คนร้ายยังกลับไปที่บ้านพักผู้เสียหาย และทุบเซฟภายในบ้านและได้ทรัพย์สินจำนวนหนึ่ง ขณะผู้เสียหายพักอยู่บ้านคนเดียว ได้หย่ากับสามี ทำให้ไม่มีใครรู้  แต่ขณะนี้นางกฤติยายังไม่สามารถบอกได้ว่าทรัพย์สินที่มีในเซฟมีเท่าใด เพราะยังไม่สามารถให้การได้ เชื่อว่าบางส่วนคนร้ายจะนำไปขายบ้างแล้ว ตำรวจจะสอบสวนขยายผลต่อไป เบื้องต้นตำรวจแจ้งข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยวทำให้สูญเสียอิสรภาพ และเรียกค่าไถ่  นำส่งพงส.สน.พระโขนง ดำเนินคดี.

โฆษกเพื่อไทย เปิดหลักฐานสำเนาเช็ค-บัญชีเงินฝาก จับผิด ปชป.รับเงินบริจาคอีสวอร์เตอร์





โฆษกเพื่อไทย เปิดหลักฐานสำเนาเช็ค-บัญชีเงินฝาก จับผิด ปชป.รับเงินบริจาคอีสวอร์เตอร์
วันนี้ (23 พ.ค.)นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทยนำสำเนาบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ธนาคารกรุงไทย สาขาย่อยกระทรวงการคลัง และสำเนาเช็คสั่งจ่ายของบริษัทอีสวอร์เตอร์  มาแสดงต่อสื่อมวลชนพร้อมแถลงว่า กรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเงินบริจาคเข้าพรรคจำนวน 1 ล้านบาทจากบริษัทอีสวอร์เตอร์นั้นขัดต่อกฎหมาย พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง แต่พรรคประชาธิปัตย์ยังอ้างว่าไม่ได้ทำผิดกฎหมายเป็นเพียงตัวกลางในการรับบริจาคจากบริษัทอีสวอร์เตอร์นำไปบริจาคให้กับสำนักนายกรัฐมนตรี ข้ออ้างนี้ขัดต่อข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เนื่องจากบริษัทอีสวอร์เตอร์บริจาคเงินให้พรรคประชาธิปัตย์โดยไม่มีเงื่อนไขเป็นตัวกลางเพื่อผ่านไปยังรัฐบาล หากมีหลักฐานก็ให้นำมาแสดง


นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า ตามหลักฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติว่าการให้ย่อมสมบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ให้จึงถือว่าเป็นความผิดสำเร็จแล้วและถือเป็นทรัพย์ของพรรคประชาธิปัตย์ และตนมีข้อสงสัยว่าการกล่าวอ้างเป็นตัวกลางในการรับเงินบริจาคเหตุใดจึงเก็บเงินไว้ถึง 1 เดือนเศษ ซึ่งทราบว่าฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ได้ทักท้วงว่าการรับเงินบริจาคจากบริษัทที่รัฐถือหุ้นขัดต่อกฎหมายมีโทษถึงยุบพรรค จึงได้หาทางพ้นผิดนำเงิน 1 ล้านบาทไปมอบให้กับสำนักนายกรัฐมนตรี พรรคประชาธิปัตย์จะเลี่ยงหรือหนีความจริงไม่พ้น สุดท้ายคณะกรรมการการเลือกตั้งต้องเป็นคนกลางสอบข้อเท็จจริง


“จากหลักฐานที่มีพบว่าพรรคประชาธิปัตย์ไปเปิดบัญชีธนาคารกรุงไทยชื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคในขณะนั้น มีนางอัญชลี วานิชเทพบุตร เป็นเหรัญญิกและนายณัฎฐพล ทีปสุวรรณ ผอ.พรรค เมื่อวันที่ 2 พ.ย.53 ต่อมาวันที่ 15 พ.ย. 53 บริษัทอีสวอร์เตอร์ได้บริจาคเงินจำนวน 1 ล้านบาทโดยเป็นเช็คที่ขีดคร่อมที่อยู่และผู้ถือทิ้งซึ่งหมายถึงว่าเงินจะต้องนำเข้าบัญชีนี้เท่านั้น ซึ่งตั้งข้อสงสัยว่าบริษัทอีสวอร์เตอร์น่าจะได้รับการติดต่อให้บริจาคเงิน เพราะเป็นการเปิดบัญชีรอล่วงหน้า เรื่องนี้ยังไม่นับถึงดอกเบี้ยระหว่างที่เงินอยู่ในธนาคาร 1 เดือนหายไปไหน นี่เป็นการจับโกหกคำโตของผู้นำและแกนนำพรรคประชาธิปัตย์” นายพร้อมพงศ์ กล่าว


โฆษกพรรคเพื่อไทย ยังกล่าวถึงกรณีที่นายสุเทพ ยื่นฟ้อง ป.ป.ช.ดำเนินการเอาผิดต่อนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากไม่สั่งฟ้องคดีล้มเจ้าว่า ในแง่กฎหมายเป็นสิทธิทำได้ แต่หากเป็นการกลั่นแกล้งใส่ความเจ้าพนักงานโดยไม่เป็นธรรม นายสุเทพอาจโดนฟ้องกลับได้ตามประมวลกฎมายอาญา  มาตรา 200 เพราะการสั่งไม่ฟ้องผ่านการพิจารณาของเจ้าหน้าที่ทั้งคณะไม่ใช่การทำตามอำเภอใจของนายธาริตคนเดียว เข้าใจว่าน่าจะเป็นการฟ้องแก้เกี้ยวมากกว่าเพราะยังคาใจที่ดีเอสไอสั่งฟ้องคดีรุกที่ดินเขาแพง เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี” โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าว

เปิดรายชื่อ กมธ.วิสามัญพิจารณางบประมาณปี56 ทั้ง 63 คน





เผยรายชื่อ กมธ.วิสามัญพิจารณางบประมาณปี56 ทั้ง 63 คน "บิ๊กบัง" มาตามโผโควต้า 5 พรรคเล็ก ขณะที่ "ฐิติมา ฉายแสง" อดีตส.ส.ฉะเชิงเทรา โผล่สัดส่วนเพื่อไทย ด้าน ภูมิใจไทย ส่ง “พ่อเนวิน”นำทีม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.2556 จำนวน 63 คน แบ่งเป็นสัดส่วนคณะรัฐมนตรี 14คน ได้แก่ 1.นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง 2.นายชุมพล ศิลปอาชา รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา  3. นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง 4.นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี5.นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข 6. นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ 7.นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 8.นายศักดา คงเพชร รมช.ศึกษาธิการ 9.นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ  ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย 10นายพันธ์ศักดิ์ เกตุวัตถา  ส.ส.ชลบุรี พรรคพลังชล 11.นายปิยะชนก  ลิมปะพันธุ์  ที่ปรึกษารมว.อุตสาหกรรม  ตัวแทนจากพรรคชาติพัฒนา 12.นายวรวิทย์ จำปีรัตน์  ผอ.สำนักงบประมาณ 13.นายสมศักดิ์ โชติรัตนะศิริ  รองผอ.สำนักงบประมาณ 14.นายวีระยุทธ ปั้นน่วม รองผอ.สำนักงบประมาณ


พรรคเพื่อไทย 25 คน ได้แก่1. นางวราภรณ์ ตั้งภากรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 2.นางฐิติมา ฉายแสง  อดีตส.ส.ฉะเชิงเทรา 3.นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร  ส.สมหาสารคราม 4.นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ  5.พ.อ.อภิวันท์ วิริระชัย ส.ส.นนทบุรี  6.นายชวลิต  วิชนสุทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ7.น.ส.สุนทรี ชัยวิรัตนะ ส.ส.ชัยภูมิ8.น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กรุงเทพ 9.นายอำนวย คลังผา ส.ส.ลพบุรี10.นายสุรศักดิ์ พันธุ์เจริญวรกุล  ส.ส.พระนครศรีอยุธยา 11.นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ 12.นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย 13.นายอิทธิรัตน์ จันทรสุรินทร์ ส.ส.ลำปาง14.นายนิยม ช่างพินิจ ส.ส.พิษณุโลก15.นายจักรัตน์ พั้วช่วย ส.ส.เพชรบูรณ์ 16.นายนิพนธ์ ศรีธเรศ ส.ส.กาฬสินธุ์ 17.นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครศรีธรรมราช 18.นายสุชาย ศรีสุรพล ส.ส.ขอนแก่น 19.นายอนันต์ ศรีพันธุ์ ส.ส.อุดรธานี 20.นายกิตติ สมทรัพย์ ส.ส.ร้อยเอ็ด21.นายวรสิทธิ์ กัลป์ตินันท์ ส.ส.อุบลราชธานี 22.นายอนุรักษ์ บุญศล ส.ส.สกลนคร 23.นายตี๋ใหญ่ พูนศรีธนากุล  ส.ส.สุริทร์ 24.นายพิษณุ หัตถสงเคราะห์  ส.ส.หนองบัวลำภู25. นายอุดมเดช รัตนเสถียร ส.ส.นนทบุรี


พรรคประชาธิปัตย์ 16 คน ได้แก่ 1.นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล 2.นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง3.น.ส.ผ่องศรี ธาราภูมิ อดีตส.ส.ลพบุรี 4.นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.กทม.5.นายวิชัย ล้ำสุทธิ ส.ส.ระยอง6. น.ส.กัลยา รุ่งวิจิตรชัย ส.ส.สระบุรี  7.นายวิฑูรย์ นามบุตร ส.ส.บัญชีรายชื่อ8.นายนคร มาฉิม ส.ส.พิษณุโลก 9.นายสราวุธ อ่อนละมัย ส.ส.ชุมพร10.น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล ส.ส.นครศรีธรรมราช 11.นายอับดุลการิม เด็งระกีนา ส.ส.ยะลา  12.นายสาคร เกี่ยวข้อง ส.ส.กระบี่ 13.นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กทม. 14.นายชื่นชอบ คงอุดม ส.ส.กทม. 15. นายวัชระ เพชรทอง ส.ส.กทม. 16.นายกนก วงษ์ตระหว่าน ส.ส.บัญชีรายชื่อ

พรรคภูมิใจไทย 3 คน  ได้แก่  1.นายชัย ชิดชอบ ส.ส.บัญชีรายชื่อ  2.น.ส.มัลลิกา จิรพันธุ์วาณิช ส.ส.ลพบุรี 3.นางนันทนา สงฆ์ประชา ส.ส.ชัยนาท

พรรคชาติไทยพัฒนา 2  คน ได้แก่ 1.นายนพดล พลเสน อดีตส.ส.อุทัยธานี  2.นายชยุต ภุมมะกาญจนะ ส.ส.ปราจีนบุรี

พรรคชาติพัฒนา 1คน ได้แก่ นายพลพีร์ สุวรรณฉวี ส.ส.นครราชสีมา

พรรคพลังชล 1คน ได้แก่ นายสุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรี

ตัวแทนพรรคเล็ก (5 พรรค คือ พรรครักประเทศไทย พรรครักษ์สันติ  พรรคมาตุภูมิ พรรคประชาธิปไตยใหม่ พรรคมหาชน ) 1คน ได้แก่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคมาตุภูมิ

สำหรับคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ กำหนดการแปรญัตติ 45 วัน โดยนัดประชุมนัดแรกวันจันทร์ที่ 28 พ.ค. เวลา 13.00 น. เพื่อเลือกตำแหน่งต่างๆ รวมถึงกรอบ ระยะเวลาในการทำงาน

ป.ป.ช. ฟัน“สุพจน์” รวยผิดปกติส่งอสส.ยึดของกลาง17.5ล้าน




ป.ป.ช. ฟัน“สุพจน์” ร่ำรวยผิดปกติ ส่ง อสส.ยึดเงินของกลาง 17.5ล้านตกเป็นของแผ่นดิน ไม่เชื่อเงินถูกปล้น 5 ล้านเป็นเงินสินสอด–รับไหว้
วันนี้ (24 พ.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการและโฆษก ป.ป.ช. แถลงว่า ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ตั้งอนุกรรมการไต่สวนเพื่อดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคม กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ร่ำรวยผิดปกติ และจงใจยื่นแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีร่ำรวยผิดปกติเกี่ยวกับเงินของกลาง ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้อายัดไว้  18,121,000 บาท และทองคำรูปพรรณน้ำหนัก 10 บาทที่คนร้ายนำเงินที่ได้จากการปล้นไปซื้อ


นายกล้านรงค์ กล่าวว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาใน 2 ประเด็น คือของกลางดังกล่าวเป็นของผู้ถูกกล่าวหารือไม่  การไต่สวนข้อเท็จจริงนั้นสำหรับเงินของกลางกว่า 18,121,000 บาท และทองคำรูปพรรณ 10 บาท จากการสอบปากคำผู้ต้องหาในคดีร่วมกันปล้นทรัพย์นายสุพจน์  คณะกรรมการฯ พิจารณาแล้วเห็นว่าเงินดังกล่าวรับได้ว่าเป็นของนายสุพจน์จริง และ 2.ของกลางดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่นายสุพจน์ ได้มาโดยร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ ซึ่งนายสุพจน์ได้ชี้แจงว่าเงินสดที่ถูกปล้นไปมี 5,068,000 บาท โดยแยกเป็นเงินสินสอด 2,000,000 บาท และเงินที่นายทศพร ปราบใหญ่ บิดานายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ บุตรเขยนายสุพจน์ มอบให้เป็นทุนเริ่มต้นชีวิตครอบครัวใหม่  2,500,000 บาท และเงินรับไหว้จากญาติผู้ใหญ่รวม 568,000 บาท


โฆษกคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวต่อว่า กรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาแล้วเห็นว่าเงินสินสอด 2,000,000 บาทนั้นจากการตรวจสอบธนบัตรของกลางในคดีซึ่งมีลักษณะผ่านการใช้งานแล้ว ไม่ได้มีลักษณะเป็นธนบัตรใหม่ดังที่ปรากฏในภาพถ่ายเงินสินสอดในงานมงคลสมรส และตามคำให้การของพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งไม่ปรากฏว่าธนบัตรมีปลอกคาดของโรงพิมพ์ธนบัตรธนาคารแห่งประเทศไทยตามที่ปรากฏในภาพถ่ายเงินสินสอดในงานมงคลสมรสรวมอยู่ในเงินของกลางด้วย

จึงฟังได้ว่าเงินของกลางในคดีที่ 2458/54 สน.วังทองหลาง ไม่ใช่เงินสินสอดที่นายสุพจน์ ได้รับในวันแต่งงานบุตรสาว ส่วนเงินที่นายทศพร มอบให้เป็นทุนในการเริ่มต้นครอบครัวใหม่  2,500,000 บาทนั้น ก็เป็นการมอบให้ในที่ลับตา ไม่มีพยานบุคคลอื่นรู้เห็น คำให้การของนายทศพร จึงไม่น่าเชื่อถือ เพราะมอบให้ในงานแต่งโดยฉุกละหุก ไม่เปิดเผย จึงฟังว่าไม่มีการมอบเงินดังกล่าวจริง ขณะที่เงินรับไหว้ที่ญาติผู้ใหญ่มอบให้ 568,000 บาทนั้น พิจารณาแล้วเห็นว่ามีการมอบให้จริงและอาจรวมอยู่ในเงินของกลางดังกล่าว


“ส่วนเงินที่เหลือ 13,053,000 บาท และทองรูปพรรณน้ำหนัก 10 บาทนั้น ฟังได้ว่าเป็นเงินของนายสุพจน์ ที่คนร้ายปล้นจากบ้านนายสุพจน์ ซึ่งนายสุพจน์ไม่เคยแจ้งไว้ในบัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. และไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงินดังกล่าวได้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่านายสุพจน์ ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ และมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ เป็นเงิน 17,553,000 บาท และทองคำรูปพรรณหนัก 10 บาท  ให้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดดำเนินคดีร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินต่อไป สำหรับรายการทรัพย์สินของนายสุพจน์ ในส่วนอื่นๆ ได้แก่เงินฝากในบัญชีธนาคาร ที่ดิน อาคาร และสิ่งปลูกสร้าง รถยนต์ และทรัพย์สินอื่นๆ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ให้เลื่อนการพิจารณาไปในการประชุมวันที่ 29 พ.ค.นี้” นายกล้านรงค์ กล่าว.

“ป๋าเปรม” ขอคนไทยช่วยไล่คนไม่ดี





"ป๋าเปรม” ขอให้คนไทยช่วยกันไล่คนไม่ดี-คนโกงออกไปจากสังคม ทำให้ประเทศไทยมีแต่คนดี หนุน ป.ป.ช. สร้างเครือข่ายปราบทุจริตเชิงนโยบาย ชี้คนไทยโชคไม่ดีมีนักการเมืองโกง วอนคนไทยสร้างจิตสำนึก 5 ข้อ
วันนี้ ( 25 พ.ค. ) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จัดการสัมมนาเผยแพร่มาตรการป้องกันการทุจริตเชิงนโยบาย โดย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี กล่าวเปิดการสัมมนา ตอนหนึ่งว่า    ตนเห็นว่าการโกงเป็นโรคร้ายแรง รักษาให้หมดไปจากโลกนี้ไม่ได้ ประเทศสิงคโปร์ที่โกงน้อยที่สุดในโลก ก็ยังมีการโกง องค์กรที่ชอบจัดลำดับว่าประเทศไหนโกงน้อยโกงมาก เขาจัดลำดับให้ประเทศของเรา อยู่ในลำดับที่ 80 จาก 183 ของประเทศทั่วโลก และเป็นลำดับที่ 10 จาก 26 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย จะเห็นได้ว่าประเทศของเรา อยู่ในลำดับที่ไม่น่าจะเป็นที่พอใจของพวกเรา  แต่ตนมั่นใจจริงๆ ว่าด้วยน้ำพักน้ำแรงของคนไทย ด้วยความร่วมมือร่วมใจของคนไทย เราจะสามารถลดลำดับที่เขาขึ้นป้ายให้เราลงได้ เมื่อทุกคนทุกฝ่ายเห็นตรงกัน เข้าใจตรงกัน และยอมรับถึงความเลวร้ายของการโกง ช่วยกันป้องกันการและปราบปรามการโกงอย่างจริงใจ  ตนคิดว่าอยากขอร้องคนไทยทุกคนในประเทศที่เรารัก ที่เราอาศัยอยู่ว่าเป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคนที่จะช่วยทำบ้านเมืองของเราให้สะอาดน่าอยู่ น่าภูมิใจขึ้น เป็นหน้าที่โดยตรงของคนไทยที่จะต้องทำให้ประเทศของเราน่าอยู่

"ป.ป.ช.  ให้คำนิยามว่าการทุจริตเชิงนโยบายเป็นการทุจริตที่เกิดจากผู้กำหนดนโยบายสาธารณะ แล้วก็บ่งชัดว่า คือ ครม. เมื่อผมอ่านคำนิยามและตรึกตรองดูแล้ว ผมคิดว่าถ้า ครม. เป็นผู้กำหนดนโยบายสาธารณะเราก็ไม่น่าจะเป็นห่วง เพราะ ครม.น่าจะเป็นกลุ่มคนดี น่าจะเป็นกลุ่มคนฉลาด น่าจะเป็นกลุ่มคนที่มีความรู้ ความสำนึกดี และน่าจะเป็นกลุ่มคนที่รักชาติ ทำงานเพื่อชาติ นอกจากนั้น ครม. ต้องถวายสัตย์ปฏิญาณตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้และต้องรักษาความปฏิญาณนั้นโดยเคร่งครัด เมื่อเป็นเช่นนี้ผมจึงเรียนว่าไม่น่าวิตกและมีปัญหา เว้นแต่บังเอิญคนไทยโชคไม่ดี สำหรับ ครม.  ทุกท่านอาสาเข้ามาพัฒนาบ้านเมือง และมีสัญญาประชาคมว่าจะพัฒนาบ้านเมืองให้ก้าวหน้า สะอาดไม่ด่างพร้อย ครม. ก็ต้องรักษาสัญญานั้น นอกจากนั้นเราก็มีสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน คอยดูแลตรวจสอบจริยธรรมนักการเมืองให้ทำหน้าที่เพื่อบ้านเมืองที่จะช่วย ป.ป.ช.ด้วย” พล.อ.เปรมกล่าว

พล.อ. เปรม กล่าวต่อว่า ตนเคยพูดมาเสมอว่าจริยธรรมอย่างเดียวก็ดีช่วยได้ แต่ถ้าระบุคุณธรรมเข้าไปด้วยก็จะดีสมบูรณที่สุด คงเคยได้ยินที่ตนพูดว่าต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน ตนพูดบ่อยและจะพูดต่อไป แม้จะมีคนไม่ชอบฟัง เรื่องนี้ถ้าคนส่วนใหญ่ของประเทศเห็นด้วยก็จะช่วยได้มาก เพราะการตอบแทนบุญคุณแผ่นดินเป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง ตนคิดว่าคนไทยน่าจะช่วยกันสร้างคนดีในประเทศของเราให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น จนแทบจะไม่มีคนไม่ดีในชาติบ้านเมืองที่รักเขาเรา ตนเชื่อว่าเป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะช่วยกันพูดว่าการทำความดี ทำให้ชีวิตเป็นสุข สอนทุกคนให้เชื่อว่า การทำความดีเท่านั้นที่จะทำให้ชีวิตราบรื่นมั่นคง และคุ้มความเป็นคน ตนอยากให้พวกเราช่วยกันเชิญคนดีเข้ามาปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติ เชิญคนไม่ดีออกไปจากสังคมคนดี เชิญคนไม่ดีไปอยู่ในส่วนสังคมของคนไม่ดี  ตนเชื่อว่าชาติบ้านเมืองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีคนไทยและพวกเราเป็นเจ้าของ ใครจะเอาชาติไทยไปทำไม่ดีไม่งามจะต้องได้รับความชั่วชั่วชีวิต หวังว่าการสัมมนาครั้งนี้จะช่วยเตือนให้คนในชาติเขาเราสำนึกรู้ว่า 1.การโกงเป็นสิ่งไม่ดี น่าละอาย ชั่วร้าย 2. ผู้ใดโกงเมื่อถูกจับได้จะประสบเคราะห์กรรมทั้งตัวเองครอบครัว ลูกหลาน และวงศ์ตระกูล 3. ผู้ใดเป็นคนโกง คนจะชี้หน้าด่าทอว่าคุณกำลังทรยศหักหลังชาติของคุณเอง 4.ชาติของเราจะถูกเหยียดหยามดูหมิ่น ดูแคลนจากนานาประเทศ เขาอาจรังเกียจที่คบหาสมาคมกับเราได้ 5. คิดว่าจะทำให้คนไทยรักชาติ และไม่ยอมให้ใครดูหมิ่นเหยียดหยามชาติของเรา   สุดท้ายขออวยพรให้พระสยามเทวาธิราช ช่วยคนดีคนไม่โกง และสาปแช่งคนไม่ดีคนโกง.

“ในหลวง”ทรงชุดจอมทัพไทยเสด็จฯจากศิริราชไปทุ่งมะขามหย่อง





พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินจากรพ.ศิริราช ไปยังทุ่งมะขามหย่อง
เมื่อเวลา 16.44 น. วันที่ 25 พ.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินออกจากที่ประทับชั้น16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช โดยรถเข็นพระที่นั่ง พร้อมสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากโรงพยาบาลศิริราชเพื่อไปสักการะพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัย ทุ่งมะขามหย่อง ต.บ้านใหม่ อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นการส่วนพระองค์ ในการนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ รศ.นพ.ประดิษฐ์ ปัญจวีณิน ผอ.โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์ เป็นผู้ถวายการเข็นรถพระที่นั่ง พร้อม ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล และคณะแพทย์พยาบาล ตามเสด็จฯ  ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่ในฉลองพระองค์ชุดกองทัพไทย

“ในหลวง”ถวายสักการะพระราชานุสาวรีย์ฯสมเด็จพระสุริโยทัย





พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสักการะพระราชานุสาวรีย์ฯสมเด็จพระสุริโยทัย ท่ามกลางพสกนิกรจำนวนมากที่มารอเฝ้ารับเสด็จฯ ต่างปลื้มปีติในพระบารมีเปล่งเสียง "ทรงพระเจริญ" กึกก้องท้องน้ำมะขามหย่อง
วันนี้ (25 พ.ค.) เวลา 18.00 น. รถยนต์พระที่นั่งเคลื่อนขบวนมาถึงพระราชนุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยรถยนต์พระที่นั่งเทียบที่หน้าพระราชานุสาวรีย์ฯ เจ้าพนักงานพระราชพิธีเชิญพวงมาลัยเข้าถวาย แล้วพระราชทานไปถวายสักการะที่โต๊ะหมู่หน้าพระราชานุสาวรีย์ฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงคม จากนั้นประทับรถยนต์พระที่นั่งทอดพระเนตรบริเวณโดยรอบพระราชานุสาวรีย์ฯ ก่อนที่จะเสด็จฯ ไปยังศูนย์แสดงและจำหน่ายสินค้า ผลิตภัณฑ์พื้นบ้านและผลิตผลทางการเกษตร พระราชานุสาวรีย์ฯ ซึ่งเป็นอาคารขนาดใหญ่สวยงามตั้งอยู่ติดบึงน้ำภายในทุ่งมะขามหย่อง เมื่อเสด็จฯ ถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เฝ้าฯ รับเสด็จ และทูลเกล้าฯ ถวายพวงมาลัย แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีน้อมเกล้าฯ ถวายโฉนดที่ดินเลขที่ 5009 ตำบลบ้านใหม่ อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ตั้งอยู่หน้าทุ่งมะขามหย่องและเป็นที่ดินแปลงนาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเคยเกี่ยวข้าวเมื่อปี 2539  รวม 7 ไร่2 งาน 14 ตารางวา ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อที่ดินที่สำนักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มาเป็นชื่อของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา

ในการนี้ นางวาสินี ผิวผ่อง นากยกเหล่ากาชาดจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทูลเกล้าฯ ถวายพวงมาลัย แด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ นางวิภาดา สีตบุตร ภริยาแม่ทัพภาคที่ 1 ทูลเกล้าฯ ถวายพวงมาลัยแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรฯ และนายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข นายสุระ อนันต์สุขเสรี ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พลโท อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เฝ้าฯ รับเสด็จ  โดยนายวิทยา ผิวผ่อง ผวจ.พระนครศรีอยุธยา ทูลเกล้าฯ ถวายเงิน โดยเสด็จพระราชกุศลสมทบทุนมูลนิธิราชประชานุเคราะห์

จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เข้าห้องรับรองประทับพักพระอิริยาบถตามพระราชอัธยาศัย ก่อน เสด็จออกจากห้องรับรองไปยังศาลาพลับพลากลางน้ำ ที่ตกแต่งเรียบง่าย และสวยงามด้วยผ้าขาวม้าทอพื้นเมืองของกลุ่มอาชีพแม่บ้านในเขต จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งพระองค์ทรงพระราชทานความช่วยเหลือแนะนำอาชีพมาก่อน จนชาวบ้านนำแนวพระราชดำรัสไปตั้งเป็นกลุ่มทอผ้าขาวม้าและผ้าพื้นเมืองจนประสบความสำเร็จ ในการนี้ ทรงทอดพระเนตรการแสดงสื่อผสม ชุดทุ่งมะขามหย่อง ผืนแผ่นดินแห่งพระมหากรุณาธิคุณ เวลาในการแสดงทุกประเภทรวม 45 นาที โดยการแสดงชุดทุ่งมะขามหย่องผืนแผ่นดินแห่งพระมหากรุณาธิคุณเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวของทุ่งมะขามหย่องและโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงให้สร้างอ่างเก็บน้ำบริเวณพื้นที่โดยรอบพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระสุรีโยทัย เพื่อรองรับน้ำในช่วงน้ำท่วม และเก็บกักน้ำไว้ใช้ในช่วงน้ำแล้ง มีการแสดงชุดทุ่งมะขามหย่องผืนแผ่นดินแห่งพระมหากรุณาธิคุณ เริ่มตั้งแต่ขบวนแห่ช้างและขบวนทหารกองเกียรติยศ สวนสนามเลียบอ่างเก็บน้ำมายังพลับพลาพิธีเพื่อถวายพระเกียรติ โดยช้างทั้ง 9 เชือกที่เข้าร่วมพิธีรับเสด็จ ได้ผ่านพิธีปักษะปะพรมน้ำมนตร์ทั้งช้างและควาญช้างเพื่อความเป็นสิริมงคล โดยช้างเชือกแรกนำพานพุ่มให้ผู้ว่าราชการจังหวัด พร้อมด้วยข้าราชการผู้ใหญ่ 36 ท่าน ถวายบังคม จากนั้นการแสดงชุดแรก การแสดงเพลงเห่เรือ 6 ลำ  ซึ่งจะขับเพลงเห่เรือประจำถิ่นที่สื่อความหมายถึงการสรรเสริญเทิดพระเกียรติที่พระองค์ท่านทรงทำให้ถิ่นแผ่นดินอุดมสมบูรณ์ มีน้ำใช้ในหน้าแล้งและที่เก็บน้ำในหน้าฝน ซึ่งในปัจจุบันเป็นพื้นที่รองรับน้ำท่วมให้ประชาชนคนกรุงเทพฯ ซึ่งล้วนมาจากพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งเมื่อครั้งน้ำท่วมใหญ่ในปี พ.ศ. 2538 ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้ปล่อยน้ำเข้าพื้นที่โดยรอบพระราชานุสาวรีย์และให้กักเก็บน้ำไว้ใช้ในช่วงหน้าแล้งตามโครงการพระราชดำริ ในวันที่ 23 ม.ค. 2539 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาเปิดคันบังคับน้ำปล่อยน้ำเข้าสู่ท่อส่งน้ำให้แก่เกษตรกร และในวันที่ 14 พ.ค. 2539 ทรงเกี่ยวข้าวในนาข้าวด้วยพระองค์เอง

จากนั้น เข้าสู่การแสดงชุด 16 ปีแห่งความหลัง ณ ทุ่งมะขามหย่อง โดย อ.ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี บรรเลงขลุ่ยเพลงพระราชนิพนธ์ความฝันอันสูงสุด แล้วเข้าสู่การแสดงชุดหลั่งเลือดทาบทา ปกปักษ์รักษาแผ่นดิน พร้อมด้วยการฉายวีดีโอเรื่องราวประวัติศาสตร์ของทุ่งมะขามหย่องที่พระมหาจักพรรดิต่อสู่กับกองทัพพม่า เพื่อไม่ให้เข้าสู่กรุงศรีอยุธยาได้ รวมทั้งวีดีโอเรื่องราวของสมเด็จพระสุริโยทัย ถ่ายทอดความเสียสละของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ระหว่างฉายวีดีโอเทิดพระเกียรติสมเด็จพระสุริโยทัย รอบข้างเวทีได้นำเสนอภาพช้างบำรุงงา โดยควาญช้างผู้มากด้วยประสบการณ์ (การฝึกช้างยุทธหัตถี ซึ่งเป็นสุดยอดแห่งการฝึกช้างให้รู้จักประสานงา เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงพระราชสงคราม สมเด็จพระสุริโยทัย ในทุ่งมะขามหย่อง สมัยกรุงศรีอยุธยา) ที่นำแสดงโดยช้าง 6 เชือก จากวังช้างอยุธยาแลเพนียด ต.สวนพริก อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ที่แต่งกายสวยงามตามโบราณประเพณี ด้วยผ้าหลากสีสันสดใสทั้งสีทอง แดง และเหลือง ซึ่งเป็นสีที่แสดงถึงความเป็นนักสู้ สีทอง คือ สีแห่งความรุ่งเรือง มองแล้วสว่างไสวขับกับสีผิวของช้าง ต่อด้วยการแสดงชุดสายน้ำหลั่งไหล น้ำตาหลั่งริน ชีวีสูญสิ้น โดยมี อ.ธนิสร์ บรรเลงเสียงขลุ่ย ประกอบขับบทกลอนจาก อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ที่สื่อความหมายถึงความทุกข์ยากของประชาชนที่เกิดจากการประสบอุทกภัยในหลายครั้งหลายครา จากนั้นเป็นชุดการแสดงน้ำพระทัยขับไล่น้ำตา เป็นวีดีโอประมวลภาพ ผวจ.พระนครศรีอยุธยาและชาวบ้านที่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และตามด้วยชุดการแสดง บทกวีเทิดพระเกียรติ เป็นการขับบทกวีจาก นางจิระนันท์ พิตรปรีชา ที่กล่าวสรรเสริญพระเกียรติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการช่วยเหลือประชาชนในด้านต่างๆ

จากนั้นเป็นการแสดงรื่นเริงในรูปแบบตลาดน้ำ แสดงวิถีชีวิตชาวบ้าน ในชุดการแสดง “ระบำสายน้ำ ลำน้ำแห่งแผ่นดินทอง” โดยมีไฮไลท์จากเรือ 6 ลำ เป็นพ่อเห่ แม่เห่ ได้แก่ เรือท้องพระคลัง เรือกล้วยทอดนายก เรือฟ้าเปลี่ยนสี (ย้อมผ้า) เรือตู้ทองเคลื่อนที่ (ขายทองหยิบ-ทองหยอด) เรือก๋วยเตี๋ยวเรือกรุงเก่า และเรือย้อนยุคกรุงเก่า รวมถึงมีเรือของชาวบ้านมาสมทบอีกกว่า 100 ลำ เพื่อจำลองบรรยากาศบึงน้ำที่ชาวอยุธยาใช้ประกอบสัมมาอาชีพ ย้อนภาพตลาดน้ำในสมัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยเสด็จแล้วทอดพระเนตรเห็นวิถีชีวิตชาวบ้าน ซึ่งชาวบ้านมีความสุขจากพระมหากรุณาธิคุณที่ได้รับจากพระองค์ ต่อด้วยการแสดงขับร้องบทเพลงเทิดพระเกียรติจากนักร้องชื่อดัง แอ๊ด คาราบาว ทำการขับร้องในบทเพลง “ปิดทองหลังพระ” ก่อนปิดท้ายการแสดงด้วยเพลงสดุดีมหาราชา เพลงสรรเสริญพระบารมีและเพลงทรงพระเจริญ โดยการแสดงทั้งหมดเป็นประชาชนของ จ.พระนครศรีอยุธยา ทั้งหมด 662 คน เรือพื้นบ้าน 240 ลำ เรือเหล่านี้เป็นเรือที่ใช้จริงในชีวิตประจำวัน

จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประทับรถยนต์พระที่นั่งไปยังพระตำหนักสิริยาลัย ในฝั่งเกาะเมืองพระนครศรี อยุธยาติดแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตรงข้ามวัดไชยวัฒนาราม เพื่อเสวยพระกระยาหารค่ำ ตามพระราชอัธยาศัย โดยทางมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา จัดทำกระทงสาย จำนวน 2,500 กระทง เพื่อลอยตามแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งจะไหลผ่านหน้าพระตำหนักสิริยาลัย เพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้ได้ทอดพระเนตร จากนั้นเสด็จพระราชดำเนินกลับ รพ.ศิริราช

ทั้งนี้ระหว่างทุกพระองค์เสด็จขึ้นประทับยังรถยนต์พระที่นั่ง ทันใดนั้นได้เกิดมีฝนตกโปรยปรายลงมาทันที สร้างความอัศจรรย์ใจให้เหล่าพสกนิกร จนต่างรู้สึกปีติและหลั่งน้ำตาออกมาโดยไม่รู้ตัว

แฟนเพลงไทยแห่ชมคอนเสิร์ต "เลดี้ กาก้า"




แฟนเพลง เลดี้ กาก้า ทำราชมังคลาฯทะลัก จราจรอัมพาต สุดคึกแต่งตัวเลียนแบบเพียบ โวไม่ถอยแม้ฝนจะตก สาวน้อยโชคดีได้กุญแจมอนสเตอร์คีย์ ส่วน2หนุ่ม กางเต้นท์ ได้ถ่ายรูปคู่เป็นที่ระลึก
วันนี้ (25 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของเลดี้ กาก้า” หรือ น.ส.สเตฟานี โจแอนน์ แอนเจลินา เจอร์มาน็อตตา ศิลปินนักร้องสาวชื่อดังระดับโลก ที่มีกำหนดเปิดแสดงคอนเสิร์ตสุดอลังการครั้งแรกในประเทศไทย ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน ถนนรามคำแหง   ตั้งแต่ช่วงสาย ที่ โรงแรมเดอะ เซนต์ รีจีส ถนนราชดำริ เขตปทุมวัน  ซึ่งเป็นโรงแรมที่นักร้องสาว เลดี้ กาก้า เข้าพัก ก่อนที่เธอจะทำการแสดงคอนเสิร์ต สำหรับ บรรยากาศด้านหน้าโรงแรม มีการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา โดยทางโรงแรมได้จัดทีมรักษาความปลอดภัยกว่า 10 คน เพื่อรักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกให้กับนักร้องสาว รวมถึงทีมของของเธอ

ขณะที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน  มีสาวกแฟนเพลงของเลดี้ กาก้า เดินทางมารอที่ประตูทางเข้าชั้นแรก โดยส่วนใหญ่เดินทางมาถึงตอนช่วงเช้า บางส่วนแต่งตัวเลียนแบบเลดี้ กาก้า โดยต่างเฝ้ารอด้วยความตื่นเต้น นอกจากนี้ ยังมีแฟนคลับจากเฟซบุ๊กแฟนเพจ ไทยแลนด์ เลิฟ เลดี้ กาก้า จำนวนหนึ่ง ปักหลักกางเต็นท์รอบริเวณทางเข้าคอนเสิร์ต เพราะต้องการเป็นคนแรกที่ได้เข้าประตูคอนเสิร์ต และจะได้กุญแจที่เรียกว่า “มอนสเตอร์ คีย์” เป็นของที่ระลึกจากเลดี้กาก้า โดยนักร้องดังจะเป็นผู้มอบให้เองกับมือ และมีการพูดคุย ถ่ายรูป แจกลายเซ็นให้กับแฟนคลับผู้โชคดีอย่างใกล้ชิด

อย่างไรก็ตามตลอดทั้งวันท้องฟ้าบริเวณรอบสนามค่อนข้างมีเมฆมาก แต่ทางแฟนเพลงยืนยันว่าจะไม่ถอย และบอกว่าหากฝนตกในงานก็จะมีการแจกเสื้อกันฝน ผู้สื่อข่าวรายงานว่าประตูชั้นแรกจะเปิดให้เข้างานตอน 15.00 น. ส่วนประตูของสนามจะเปิดให้เข้าในเวลา 19.00 น. โดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของานดูแลความสงบเรียบร้อยรอบสนาม ต่อมาในช่วงบ่าย แฟนคลับเลดี้ กาก้าเริ่มทยอยเดินทางมาสมทบจนแน่นขนัดแบบมืดฟ้ามัวดิน ส่วนใหญ่แต่งกายเต็มไปด้วยสีสันอย่างหลุดโลกเลียนแบบนักร้องดัง ทำให้บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก ท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุ ส่วนการจราจรบนถนนรามคำแหงและพื้นที่บริเวณใกล้เคียงพบว่ารถติดขัดอย่างมาก จนกระทั่งผู้จัดงานได้เปิดประตูชั้นแรกให้เข้างานในเวลา 15.00 น. สาวกเลดี้กาก้า ต่างส่งเสียงเฮด้วยความดีใจ โดยบรรยากาศเต็มไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีเหตุการณ์รุนแรง

กระทั่งถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย เมื่อทีมงานของเลดี้ กาก้า ประกาศรายชื่อผู้โชคดี 5 คน ที่รอเข้าชมคอนเสิร์ตเลดี้กาก้านานที่สุด และมีโอกาสได้ถ่ายรูปกับนักร้องซูเปอร์สตาร์ชื่อดัง คือ น.ส.มณีนุช สุธีสันต์ นายอิศเรศ กมลนาวิน น.ส.ปะการัง แซ่ภู่ นายพชรพงศ์ นิ่มวงศ์ษา และนายสุเมธ กลิ่นจันทร์ โดย น.ส.มณีนุช เป็นผู้โชคดีคนเดียวที่ได้รับมอนสเตอร์คีย์ จากเลดี้กาก้า เพราะเป็นผู้เดียวที่มากางเต็นท์รวมถึงเช่าโรงแรมในละแวกสนามราชมังคลาฯ เพื่อรอคอยชมคอนเสิร์ตติดต่อกันนานถึง 7 วัน

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า จากการสำรวจภายในงาน พบว่ามีการเปิดบูทจำหน่ายสินค้าจากผลิตภัณฑ์ชื่อดังหลายยี่ห้อ มีเสื้อผ้า และของที่ระลึกจำหน่าย และที่บูธของสิงห์ ได้พบกับ บัวขาว ป.ประมุข หรือนายสมบัติ บัญชาเมฆ นักชกมวยไทยชื่อดังที่เพิ่งลาสิกขาบท บอกว่าได้รับเชิญจากสิงห์ให้มาร่วมงาน และถึงแม้จะเป็นนักมวย  แต่ก็ต้องมีการปลดปล่อยกันบ้าง โดยส่วนตัวชอบอะไรบันเทิงอยู่แล้ว พอได้รับเชิญมาดูคอนเสิร์ตนักร้องระดับโลกอย่างเลดี้ กาก้า เลยตอบตกลงทันที นอกจากนี้ยังมีนักร้อง ดาราชื่อดังของไทยอาทิเช่น มดดำ คชาภา. มาริสา แอนนิต้า .ลาล่า ลูลู่ โปงลางสะออน . เมย์ เฟื่องอารมณ์ เต๋า สมชาย เข็มกลัดและภรรยา

ด้านพล.ต.ต.ชาญ วิมลศรี ผบก.น.4 กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เตรียมกำลังไว้ดูแลความสงบเรียบร้อยทั้งหมด 902 นาย โดยมีเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบและชุดสืบสวนจากทุกสน.ในพื้นที่บก.น.4 และมีเจ้าหน้าที่เก็บกู้วัตถุระเบิด(อีโอดี) เจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน จราจรและสายตรวจปฏิบัติการพิเศษ191 ทั้งนี้ยังมีเจ้าหน้าที่จากการกีฬาแห่งประเทศไทยอีก 90 คน รวมทั้งทีมรักษาความปลอดภัยของงานอีก 200 คนอีกด้วย

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงจาการ์ต้า ประเทศอินโดนีเซียว่า  ตำรวจอินโดนีเซียกำลังพิจารณาข้อเสนอจากคณะผู้จัดคอนเสิร์ตเลดี้ กาก้า เพื่อให้มีการแสดงคอนเสิร์ตวันที่ 3 มิ.ย.ในกรุงจาการ์ต้า ด้วยเงื่อนไขที่ว่า คอนเสิร์ตจะลดระดับความแรงจากการแสดงของเลดี้ กาก้า ที่ส่อไปในทางเพศ  หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ตำรวจนครบาลกรุงจาการ์ต้าไม่อนุญาตให้จัดคอนเสิร์ตเลดี้ กาก้า ในวันดังกล่าว  ภายหลังกลุ่มเคร่งศาสนาขู่สร้างความวุ่นวาย หากเลดี้ กาก้า เดินทางเข้าอินโดนีเซีย  ซึ่งเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า  นักร้องชื่อดังยังไม่ได้รับอนุญาตให้แสดงคอนเสิร์ตในประเทศ

ด้านนายทรอย คาร์เตอร์  ผู้จัดการของเลดี้ กาก้า เปิดเผยว่า  เลดี้ กาก้า จะไม่ลดระดับการแสดงในคอนเสิร์ตของเธอ  หลังจากมีการประท้วงเกิดขึ้นจากกลุ่มเคร่งศาสนาทั้งในฟิลิปปินส์และเกาหลีใต้   ซึ่งเลดี้ กาก้า  ยอมยกเลิกการแสดงคอนเสิร์ตดีกว่าต้องมาเปลี่ยนแปลงหรือลดระดับคอนเสิร์ต เพื่อเอาใจกลุ่มศาสนาหรือกองเซ็นเซอร์   สำหรับคอนเสิร์ตของเลดี้ กาก้า ที่ใช้ชื่อว่า”เดอะบอร์น ดีส เวย์ บอล”ในกรุงจาการ์ต้า  ทางคณะผู้จัดได้ขายบัตรเข้าชมกว่า 50,000 ใบหมดเกลี้ยงแล้ว



รวบต่างชาติตั้งแก๊งลักทรัพย์งาน" เลดี้ กาก้า "


 

ตร.รวบแก๊งเวียดนาม รวมตัวตระเวนล้วงกระเป๋าในงานเลดี้ กาก้า แก๊งมิจาฉาชีพสุดแสบ วางแผนเดินทางเข้าไทย-ออกวันละเวลาเดียวกัน ด้วยเที่ยวบินและสายการบินเดียวกัน โดยเดินทางมาตั้งแต่วันที่ 24 พ.ค. และเดินทางกลับประเทศเวียดนามในวันที่ 26 พ.ค. เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาซ่องโจรเพื่อลักทรัพย์ พร้อมนำตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป
           เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 25 พ.ค. พ.ต.อ.อุทัย กวิลเดชาธร ผกก.สส.บก.น.4 พ.ต.ท.ชัยรัตน์ สว.สส.บก.น.4 ร่วมจับกุมตัวนาง เหงียน ติ จาง ดาย อายุ57 ปี นางเหยียน ทิ ถัง อายุ 36 ปี และนายเล วัน ฮอง อายุ23 ปี ผู้ต้องหาชาวเวียดนาม ที่ตระเวนก่อเหตุล้วงกระเป่าประชาชนที่เดินทางมาดูการแสดงคอนเสิร์ตเลดี้ กาก้า ที่สนามราชมังคากีฬาสถาน พร้อมของกลาง ตั๋วเครื่องบินทั้งขาเดินทางมาประเทศไทย โฮจิมินท์ – สุวรรณภูมิ  จำนวน 3 ใบและตั๋วเครื่องบินเดินทางกลับประเทศเวียดนาม สุวรรณภูมิ-โฮจิมินต์ จำนวน 3 ใบ เสื้อลายดอกจำนวน 1ตัว หมวก จำนวน  1 ใบ กระเป๋าสะพายแบบผู้หญิงสีดำจำนวน 1 ใบ บัตรคอนเสิร์ตเลดี้ กาก้า ราคา4,500บาท 1 ใบ ราคา 6,300บาท 1 ใบ โทรศัพท์มือถือจำนวน 3 เครื่อง
            พ.ต.อ.อุทัย กล่าวว่า สืบเนื่องจาก เจ้าหน้าที่สืบสวน บก.น.4 ได้ลงพื้นที่เฝ้าตรวจตราบริเวณโดยรอบงานคอนเสิร์ตดังกล่าว ตั้งแต่ช่วงบ่าย ก่อนที่จะมาพบกลุ่มผู้ต้องสงสัยประมาณ 10-15 คน รวมตัวกันอยู่ที่บริเวณหน้างานคอยสอดส่งดูผู้ที่มาดูคอนเสิร์ต จึงให้เจ้าหน้าที่กระจายกำลังติดตามพฤติกรรมกลุ่มคนดังกล่าว ก็พบว่า เป็นชาวเวียดนาม คอยเดินตามผู้ที่สะพายกระเป๋าก่อนที่จะเข้าไปทำทียืนล้อมผู้เสียหายที่ยืนซื้อของอยู่แล้วหนึ่งในผู้ต้องสงสัยได้ลงมือล้วงกระเป๋า เจ้าหน้าที่จึงเข้าไปจับกุม แต่กลุ่มผู้ต้องสงสัยได้วิ่งกระจายหลบหนีก่อนจะที่จะสามารถจับกุมตัวมาได้ 3 คน ดังกล่าว แต่เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้ง 3 ยังให้การปฏิเสธ ว่าทั้งหมดไม่รู้จักกัน และเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเท่านั้น
              ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ เบื้องต้นทราบว่ากลุ่มคนดังกล่าว เดินทางเข้าประเทศ ในวันละเวลา เดียวกัน ด้วยเที่ยวและสายการบินเดียวกัน นอกจากนี้ยังจองตั๋งเครื่องบินเดินทางมาตั้งแต่วันที่ 24 พ.ค. และทั้ง 3ราย จะเดินทางกลับประเทศเวียดนามในวันที่ 26 พ.ค. โดยสายการบินและเที่ยวบินเดียวกันอีกด้วย นอกจากนั้นจากการตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาก็ยังพบว่า ทั้ง3คน ได้โทรออกไปที่เบอร์โทรศัพท์เบอร์เดียวกันจำนวน 2 เบอร์ อีกด้วย
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อหาซ่องโจรเพื่อลักทรัพย์ พร้อมนำตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป
               ในเวลาเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางเจ้าหน้าที่สืบสวน สน.หัวหมาก ได้จับกุมตัวชาวเวียดนามที่ก่อเหตุล้วงกระเป๋าได้อีก 2 ราย คือนายด๋วน ฟิ ลิป อายุ 51 ปี และนายเหมียน วัน เด็ด อายุ 27 ปี โดยทั้งสองคนถูกจับกุมในขณะกำลังจะลงก่อเหตุ แต่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวเอาไว้ได้ก่อน และจากการตรวจสอบก็พบว่า ได้เดินทางมากับสายการบินเวียดนามแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ VN601 ซึ่งตรงกับเที่ยวเดียวกันกับผู้ต้องทั้ง 3ราย ที่เจ้าหน้าที่สืบสวน บก.น.4 จับกุมตัวได้ ซึ่งเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ทำสอบสวนเพื่อขยายผลหาตัวเพื่อนร่วมแก๊งค์ที่เหลือมาดำเนินคดีต่อไป