วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

ช็อกผู้ชายลงมือทำร้ายผู้หญิงตายปีละ200-300คน


วันนี้ ( 25 มี.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์  พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดเสวนาหัวข้อ “เสียงจากผู้หญิง...ถึงนายกฯหญิง” โดยมีผู้ร่วมเสวนาคือนางธนวดี ท่าจีน กรรมการและเลขานุการมูลนิธิเพื่อนหญิง   น.ส.วิไลวรรณ แซ่เตีย รองประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย น.ส.ทวิดา กมลเวชช รองคณบดี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ น.ส.จันทวิภา อภิสุข ประธานมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์(ศูนย์พิทักษ์สิทธิหญิงบริการ) โดยมี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเปิดงานว่า ในช่วงที่เป็นนายกฯ ได้ติดตามปัญหาเรื่องความไม่เท่าเทียมและความไม่เป็นธรรม โดยสิ่งที่ค้นพบเหตุผลที่ทำให้ผู้หญิงไม่ก้าวหน้าในทุกอาชีพเป็นเพราะภาระจากครอบครัว ตนจึงส่งเสริมสถานดูแลเด็กเล็กในสถานประกอบการ หรือการประกอบอาชีพแรงงานอิสระ แรงงงานนอกระบบ ไม่มีระบบประกันสังคม ก็นำเข้าสู่ระบบประกันสังคม สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการพิจารณาเรื่องการให้ผู้ชายลาไปช่วยดูแลลูกได้ก็เป็นความต่อเนื่องที่รัฐบาลได้ดำเนินการให้

 นางธนวดี กล่าวว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงแต่ละปีสูง กว่า 2.7 หมื่นคน  มีแนวโน้มสูงและซับซ้อนขึ้น เสียชีวิตเพราะสามีทำร้าย 2-300 คนต่อปี ความรุนแรงทางเพศมีความเสียหายที่เป็นกลุ่มเด็กเพิ่มขึ้น ทั้งการถูกคุกคามทางเพศ ตนคาดหวังให้นายกรัฐมนตรีมีความตั้งใจทำเรื่องผู้หญิงอย่างจริงจังมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงกฎหมาย หรือการเปิดโอกาสให้ผู้หญิงมีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน แต่กลับไปทำเรื่องกองทุนพัฒนบทบาทสตรี แม้เราจะเห็นด้วย แต่กลับไม่มีการบูรณาการหรือเปิดโอกาสให้ภาคส่วนต่าง ๆ ได้เข้ามามีส่วนร่วม โดยมีข้อเสนออยากให้ 80% เน้นเรื่องการพัฒนาศักยภาพ 20 % ให้มีระบบเงินหมุนเวียน แต่รัฐบาลกลับกำหนดให้ 70% ของกองทุนเป็นเรื่องกู้ยืม 30 % เป็นการพัฒนาศักยภาพ ซึงเครือข่ายผู้หญิงเคยรวมตัวไปยื่นหนังสือถึงนายกให้ทบทวนและรอคำตอบอยู่คือ การจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนกองทุนให้เชิญองค์กรภาคประชาชนและองค์กรผู้หญิง องค์กรท้องถิ่น และ หน่วยงานรัฐ เข้ามามีส่วนร่วม หากยังทำตามกรอบเดิมมีผลกระทบแน่นอน เพราะขณะนี้ยอดสมัครแค่ 5 ล้าน จากผู้หญิงทั้งหมด  33 ล้าน อีก 28 ล้านหายไปจากระบบการเป็นสมาชิก อีก 28 ล้านคนเข้าไปไม่ถึงกองทุน ซึ่งอาจขัดรัฐธรรมนูญ และเตรียมที่จะฟ้องศาลปกครองให้คุ้มครองชั่วคราว เนื่องจากผู้หญิงควรมีสิทธิในกองทุนโดยไม่ต้องสมัครเป็นสมาชิก                

น.ส.วิไลวรรณ กล่าวว่า ขณะนี้แรงงานหญิงของประเทศไทยมีภาระรับผิดชอบหลายด้าน ทั้งเรื่องการประกอบอาชีพเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัวและภาระเรื่องการดูแลบุตร ดังนั้นควรมีการให้การดูแลที่ดีทั้งในเรื่องการคลอดบุตร เลี้ยงดูบุตร หรือแม้แต่เรื่องการให้ความดูแลบุตรในสถานประกอบการ รัฐบาลต้องลงมาดูแล โดยเฉพาะปัญหาเรื่องการว่างงานของผู้หญิงหลังเกิดอุทกภัย ซึ่งยังมีแรงงานหญิงอยู่ในภาวะตกงานเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการดูแลจากรัฐบาล

น.ส. จันทวิภา กล่าวว่า ตอนนี้หญิงขายบริการมักถูกตำรวจล่อซื้อแล้วมีการแก้ผ้า เป็นเจ้าหน้าที่รัฐทำอย่างนี้รุนแรงเกินไปหรือไม่ ถือเป็นการทำร้ายประชาชน ละเมิดสิทธิ์ประชาชน การจับกุมควรใช้วิธีทางสังคมมากกว่าทางกฎหมาย เพราะการใช้กระบวนการทางกฎหมายไม่ได้ให้ความรู้อะไรเพิ่ม นอกจากนี้การทำแท้ง ก็กระทำเหมือนเป็นอาชญากร ไปถ่ายเตียง เห็นเลือด ทำเพื่ออะไร วิธีแก้ไขปัญหาทำแท้งตอนนี้ไม่มี เราจะไม่มีหมอที่มาคอยดูแลผู้หญิง เราจะไม่มีคลีนิคที่มีมาตรฐานในการดูแลผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ไม่พึ่งประสงค์ เพราะการทำแท้งถูกมองว่าผิดกฎหมาย การแก้ไขปัญหาแบบนี้อาจจะไม่ทันสมัย เพราะผู้หญิงต้องเสียเงินจำนวนมากในการทำแท้งแต่กลับไม่ได้รับการดูแลให้ปลอดภัยจากหมอที่มีประสบการณ์ เพราะหากหมอทำก็ผิดกฎหมาย ทั้งที่เราไม่ควรไปจับหมอที่มาช่วยดูแลสุขภาพที่ดีของผู้หญิง

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

มิสไทยแลนด์เวิลด์เตรียมเดินสายขอบคุณสื่อและสปอนเซอร์


วันนี้ ( 25 มี.ค.) ที่ชั้น 26 โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ หลังจากการประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ 2012 เสร็จสิ้นลงเมื่อคืนที่ผ่านมา น.ส.วัลเณซ่า หรือณฉัตร เมืองโคตร อายุ 20 ปี นศ.ปีที่ 2 คณะมนุษย์ศาสตร์ ม.รามคำแหง ผู้คว้าตำแหน่ง “มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2012” พร้อมรองอันดับ 1 น.ส.บุญยิสา หรือป๊อบปี้  จันทราราชัย อายุ 20 ปี นศ.ปีที่ 2 คณะ Business English ม.กรุงเทพ และรองอันดับ 2 น.ส.ชวัลลักษณ์ หรือเกรซ อังเกอร์ โมกศิริ อายุ 18 ปี ได้เตรียมเดินทางไปขอบคุณสื่อมวลชนและผู้สนับสนุนต่างๆ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า 3 สาวงามผู้ได้รับตำแหน่ง เริ่มต้นทำกิจกรรมสปา แอนด์ ทรีทเม้นท์ ผ่อนคลายร่างกายจากความเหนื่อยล้า บำรุงผิวพรรณด้วยการทำทรีทเม้นท์ จากนั้นก็ออกกำลังกาย เพื่อปรับความสมดุลของร่างกายให้คงที่ เตรียมความพร้อมให้แก่สุขภาพที่ดี ด้วยการว่ายน้ำ
 
น.ส.วัลเณซ่า  มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2012 เผยว่า หลังจากได้รับตำแหน่งในการประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ 2012 เมื่อคืนที่ผ่านมา ยังไม่หายตื่นเต้น แต่ต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมในการปฏิบัติภารกิจต่างๆ โดยให้ความสำคัญด้านการรับประทานอาหาร เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผักผลไม้ ที่เป็นเคล็ดลับสุขภาพดี นอกจากนั้นจะต้องมีการเตรียมตัวเรื่องภาษา การพูด และบุคลิกภาพ ที่จะต้องมีการเรียนรู้การวางตัวที่เหมาะสม เพื่อเป็นแบบอย่างที่ให้แก่ผู้หญิง และเตรียมพร้อมการเป็นตัวแทนประเทศไทยไปประกวดมิสเวิลด์ ประจำปี 2555  ในเดือนมิ.ย.ที่จะถึงนี้ ที่มองโกเลียใน เขตปกครองของสาธารณรัฐประชาชนจีนอีกด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 26 มี.ค. 2555 มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2012 และรองมิสไทยแลนด์เวิลด์ทั้ง 2 อันดับ จะเดินไปทำหน้าต้อนรับแขกผู้มีเกียรติในงานฉลองครบรอบ 42 ปี สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 รวมถึงบันทึกเทปในรายการเรื่องเล่าเช้านี้ และรายการสีสันบันเทิง ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ต่อไป.

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

กะเทาะเปลือก กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ผ่านมุมมองวิชาการ ตอบโจทย์ปัญหาหรือไม่


กลายเป็นประเด็นร้อนทางสังคมในกลุ่มสตรี เมื่อรัฐบาลประกาศให้จัดตั้ง “กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี” ขึ้นด้วยงบประมาณ 7,700 ล้านบาท ต่อการพัฒนาศักยภาพของสตรี 77 จังหวัดทั่วประเทศ โดยมีร่างแผนการกำหนดกฎระเบียบข้อบังคับในการใช้สิทธิต่าง ๆ ซึ่งมีหลายข้อขัดแย้งต่อความเสมอภาคทางสังคม จึงเกิดเป็นคำถามขึ้นว่า สตรีจะได้รับประโยชน์จากกองทุนฯ จริงหรือไม่? โครงการสตรีและเยาวชนศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ โดย รศ.ดร.นิรมล สุธรรมกิจ ประธานโครงการฯ ได้จัดการสัมมนาภายใต้หัวข้อ “กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี : มุมมองทางวิชาการ” เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่อาคารอเนกประสงค์ 1 ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยมีตัวแทนสตรีจากหน่วยงาน องค์กรต่าง ๆ ร่วมรับฟังไรรัตน์  รังสิตพล ตัวแทนจากองค์การสหประชาชาติ ดูแลด้านการคุ้มครองสิทธิของสตรี ให้ความรู้โดยยกตัวอย่างการบริหารจัดการกองทุนสาธารณะในระดับโลกว่า กองทุนส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ หรือ “ยูนิเฟม” ทำงานเกี่ยวกับการส่งเสริมพลังงานของสตรี แรงงานนอกระบบ การยุติการกระทำรุนแรงต่อสตรีและเด็ก ส่งเสริมความมั่นคงและสันติภาพของสตรี และมีการวางแผนระบบงบประมาณต่างๆ ในกองทุน เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวมอย่างแท้จริง หรือกองทุนยูเอ็น ทรัสท์ ฟันด์ ฟอร์ วูเมน เน้นเรื่องการประเมินผลและแบ่งปันประสบการณ์ โดยสร้างการมีส่วนร่วมของผู้หญิงในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง และกองทุนส่งเสริมเพื่อความเสมอภาคที่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมตัดสินในการเมือง แต่หากมองย้อนมาที่กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี มีการกำหนดกรอบการดำเนินงานไว้อย่างไร ครอบคลุมขีดความสามารถของสตรีมากน้อยแค่ไหน และมีการสร้างนโยบายช่วยเหลือสตรีที่อยู่นอกระบบของกฎเกณฑ์ทางสังคมหรือไม่
ด้าน รศ.ดร.สกนธ์ วรัญญูวัฒนา อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เสนอมุมมองว่า การจัดการและดำเนินงานนโยบายสาธารณะ จำเป็นต้องมีการพิจารณาถึงปัจจัยในหลายด้าน เช่น การได้มาของกองทุนที่ต้องสามารถตรวจสอบได้อย่างโปร่งใสตามหลักธรรมาภิบาล, วัตถุประสงค์ของกองทุนที่ต้องมองปัญหามากกว่าการจัดสรรเม็ดเงินของกองทุน เพราะการพัฒนาสตรีในระดับชุมชน เงินไม่ใช่ตัวชี้วัดที่สำคัญ แต่มองที่การส่งเสริมศักยภาพมากกว่า, วิธีการดำเนินการของกองทุนต้องให้สิทธิเท่าเทียมกัน ว่าด้วยรัฐธรรมนูญความเสมอภาคของมนุษยชน และควรบริหารจัดการกองทุนฯ อย่างเป็นระบบ เพราะไม่เช่นนั้นจากวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือพัฒนาศักยภาพสตรี จะกลายเป็นหนี้ในภาคประชาชน ที่ก่อให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมาย
ขณะที่ ดร.สุธาดา เมฆรุ่งเรืองกุล ผู้ประสานงานเครือข่ายผู้หญิงพลิกโฉมประเทศไทย เผยว่า หลังจากตัวแทนเครือข่ายสตรี 4 ภาค เข้ายื่นหนังสือเสนอขอแก้ไขระเบียบและข้อกำหนด 7 ข้อ ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 7 มี.ค.ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ยังไม่ได้รับการตอบรับในการแก้ไขข้อเสนอจากรัฐบาล แม้มีการขยายการรับสมัครสมาชิกกองทุนฯ ถึงวันที่ 31 มี.ค. นี้ หากครบกำหนดแล้วยังไม่ได้ข้อสรุปของการแก้ไขข้อเสนอ อาจมีการขับเคลื่อนเรียกร้องผ่านคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน และศาลปกครอง เพื่อช่วยคุ้มครองสิทธิของสตรีชั่วคราวต่อไป
สำหรับหนังสือเสนอขอแก้ไขระเบียบและข้อกำหนด 7 ข้อได้แก่ ขอให้หยุดการรับสมัครสมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี เนื่องจากผู้หญิงทุกคนควรได้สิทธิโดยอัตโนมัติ, ขอให้รัฐบาลมีการจัดตั้งอนุกรรมการหรือคณะทำงาน ภายใต้อำนาจหน้าที่ ตามความเหมาะสม, ขอให้รัฐบาลทบทวนวัตถุประสงค์ของกองทุน ที่เป็นแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ หรือปลอดดอกเบี้ย, รัฐบาลต้องจัดการกองทุนฯ อย่างโปร่งใส, ขอให้งบประมาณกองทุนฯ สามารถกระจายสู่องค์กรสตรีในพื้นที่ได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านหน่วยงานภาครัฐระดับชาติ, รัฐบาลต้องเร่งรัดให้นโยบายกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี เป็นพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีภายใน 90 วัน และขอให้รัฐบาลมีการจัดเวทีสาธารณะระดับจังหวัด เพื่อมีการแลกเปลี่ยนและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ภารกิจ และประโยชน์ที่ผู้หญิงทุกคนจะได้รับต่อไป.

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

นฉัตร สาวไทย - เยอรมันไม่หลุดโผ หุ่นเนี้ยบ-หน้าสวย-ไหวพริบดี ครองมงกุฎมิสไทยฯ





เป็นไปตามความคาดหมายของกองเชียร์ทั้งทางบ้านและข้างเวทีประกวด “มิสไทยแลนด์เวิลด์ ประจำปี 2555”
เมื่อพิธีกรประกาศชื่อ น.ส.วัลเณซ่า เมืองโคตล หรือ “น้องนฉัตร” สาวงามผู้เข้าประกวดหมายเลข 14  ได้ครองมงกุฎมิสไทยแลนด์เวิลด์คนล่าสุด เวลาเพียงแค่ข้ามคืนได้เปลี่ยนชีวิตสาวลูกครึ่งไทย-เยอรมัน วัยเพียง 20 ปี จากสาวภูเก็ตธรรมดาคนหนึ่งก้าวสู่ทำเนียบเวทีความงามอันทรงเกียรติ ซึ่งที่ผ่านมาสื่อหลายสำนักต่างฟันธงว่า เธอเป็นตัวเก็งที่จะทะลุผ่านเข้ารอบลึก ๆ ได้ไม่ยาก เพราะมีรูปร่างหน้าตาสะสวย ปฏิภาณไหวพริบดี ตลอดจนคุณสมบัติที่อัดแน่น โดยเฉพาะพูดได้ถึง 3 ภาษา ทั้งไทย, อังกฤษ และเยอรมัน  และในรอบตัดเชือกความงามเมื่อค่ำวันเสาร์ ที่ห้องบางกอกคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ยิ่งไม่ทำให้กองเชียร์ทั่วสารทิศผิดหวัง
นอกจากรางวัลอันทรงเกียรติสูงสุดแล้ว “น้องนฉัตร” ยังกวาดรางวัลมาตุนอีกมากมาย ได้แก่ รางวัลนางงามรูปร่างดี, รางวัลพิเศษรอบฟาสแทร็ก ควบ 2 ตำแหน่ง “มิส บิวตี้ วิธ อะ เพอร์โพส” นางงามที่อุทิศตนเพื่อสังคม และตำแหน่ง “มิส ท็อป โมเดล” นางงามที่มีทักษะด้านการเดินแบบ โกยเงินรางวัลกลับบ้านกว่า 6 ล้านบาท ก่อนจะเก็บตัวเตรียมความพร้อม เป็นตัวแทนสาวไทยเข้าประกวดเวที “มิสเวิลด์ ประจำปี 2555” ช่วงเดือน มิ.ย.นี้ ที่มองโกเลียในเขตการปกครองสาธารณรัฐประชาชนจีน
ทันทีที่ลงจากเวทีประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์คนล่าสุด เผยด้วยเสียงสั่นเครือว่า รู้สึกดีใจมาก ๆ ภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป พิสูจน์ได้ว่าความพยายามเป็นจริง วินาทีสวมมงกุฎเหมือนฝัน ถามตัวเองว่านี่คือความจริงหรือเปล่า ด้านภารกิจหลังครองตำแหน่ง อยากรณรงค์ให้คนไทยหันมารักกัน เพราะความรักสร้างทั้งโอกาสและกำลังใจ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ ส่วนเวทีขั้นต่อไปตัวเองมั่นใจเต็มร้อย แต่ต้องฟิตหุ่นให้เฟิร์มและแข็งแรงกว่านี้ เพราะสถานที่ประกวดสภาพอากาศหนาวแตกต่างจากเมืองไทย  สำหรับเงินรางวัลทั้งหมดที่ได้รับจะแบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกเป็นทุนการศึกษา, ส่วนที่สองมอบให้คุณแม่ และส่วนสุดท้ายจะนำไปช่วยเหลือสถานสงเคราะห์คนพิการและทุพพลภาพพระประแดง จ.สมุทรปราการ เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
“น้องนฉัตร” เป็นลูกสาวคนเดียวของ ไรเนอร์ แฮล์มันน์ ชาวเยอรมัน กับ ปัทมาวดี เมืองโคตล ประกอบธุรกิจให้เช่าบังกะโล จ.ภูเก็ต เกิดและเติบโตที่ประเทศเยอรมัน กระทั่งอายุ 1 ขวบ ย้ายมาปักหลักในเมืองภูเก็ตพร้อมครอบครัว หลังบิดาเสียชีวิตได้ใช้ชีวิตตามลำพังกับคุณแม่มาตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ปัจจุบันศึกษาคณะมนุษยศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 ม.รามคำแหง  ด้านนิสัยส่วนตัวเรียบร้อย ขี้อาย ชอบช่วยเหลือคน และยังสนใจธรรมะ รักษาศีล 5 รับประทานเจทุกวันพระและวันพุธซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิด ด้วยความเป็นสาวเมืองปักษ์ใต้ นิยมอาหารรสจัดจ้าน โปรดปรานแกงเหลือง น้ำพริกกะปิ และส้มตำใส่ปลาร้า.

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

เปิดปฎิทินแอดมิชชั่นกลาง ปี 55


วันนี้ (24 มี.ค.) ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เปิดเผยว่า  ในการรับสมัครคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาสถาบันอุดมศึกษาในระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษาหรือแอดมิชชั่นกลาง ประจำปีการศึกษา 2555 จะมีมหาวิทยาลัยเข้าร่วมประมาณ 90 แห่ง รับในสาขาวิชาต่าง ๆ 900 สาขา จำนวนรับ ประมาณ 109,000 คน ส่วนรายละเอียดในการรับสมัครและยอดรับสมัครของแต่ละมหาวิทยาลัย ทางสมาคมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (สอท.) จะแถลงข่าวในวันที่ 4 เม.ย.55 เวลา 14.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับปฎิทินแอดมมิชั่นกลาง ปี 2555 มีดังนี้ จำหน่ายหนังสือระเบียบการวันที่ 4-20 เม.ย. 55 ศูนย์กรุงเทพมหานคร ที่ ม.เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน ,ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ,สอท. ,ศูนย์ภูมิภาค ม.ธรรมศาสตร์ ,ศูนย์รังสิต ม.ขอนแก่น ,ม.เชียงใหม่ ,ม.เทคโนโลยีสุรนารี ,ม.นครพนม ,ม.นเรศวร ,ม.บูรพา ,ม.พะเยา ,ม.มหาสารคาม ,ม.วลัยลักษณ์ ,ม.ศิลปากร ,วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ ,ม.สงขลานครินทร์ ,วิทยาเขตหาดใหญ่ และ ม.อุบลราชธานี  อาจมีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมหรือรับสมัครวันที่ 11-20 เม.ย.55 ทางเวบไซต์ สอท.www.cuas.or.th ชำระเงินค่าสมัครผ่านธนาคารหรือ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ไทย วันที่ 11–24 เม.ย. 55
 
ผู้สมัครตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล ทางเวบไซต์ www.cuas.or.th วันที่ 12–25 เม.ย.55 ยื่นคำร้องขอแก้ไขข้อมูลส่วนตัวทางโทรสารโทร. 0-2354-5155-6 วันที่ 12–27 เม.ย.55 ตรวจสอบคะแนนดิบที่ใช้ในการคัดเลือก และรายชื่อนักเรียนที่ถูกตัดสิทธิ์เข้าแอดมิชชั่นกลางทางเวบไซต์ www.cuas.or.th วันที่ 29–30 เม.ย. 55 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์และตรวจร่างกาย ทางเวบไซต์ www.cuas.or.th วันที่ 9 พ.ค.55 สอบสัมภาษณ์และตรวจร่างกาย มหาวิทยาลัย/สถาบันอุดมศึกษาที่สอบได้วันที่ 14–16 พ.ค 55 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าศึกษาในแต่ละสถาบันทางเวบไซต์ www.cuas.or.th วันที่ 21 พ.ค. 55.

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

มูลนิธิคุณพุ่ม แสงทองส่องทางให้กลุ่มออทิสติก




 


เมล็ดพันธุ์พืช แม้จะมีสภาพความสมบูรณ์ไม่เท่ากัน แต่ถ้าหากได้รับการเอาใจใส่ รดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ยชั้นดีอย่างถูกวิธีเมล็ดพันธุ์แคระแกร็นที่คิดว่าไร้ค่าไปแล้ว ก็อาจเจริญเติบโตเป็นไม้ใหญ่ให้ประโยชน์ในอนาคตได้ ส่วนนี้ก็คงไม่ต่างกับมนุษย์ แม้จะมีสภาพร่างกาย จิตใจหรือศักยภาพแตกต่างกันเพียงใดก็ตาม หากได้รับการดูแล เอาใจในการช่วยเหลือ ส่งเสริมอย่างถูกวิธีอย่างต่อเนื่องแล้ว ก็ย่อมส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นเติมเต็มตามศักยภาพที่แต่ละคนมีอยู่ได้เช่นกัน
ดังนั้นการดูแลช่วยเหลือการพัฒนาคนที่มีศักยภาพแตกต่างกันเพื่อให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ จึงมีความสำคัญยิ่ง โดยเฉพาะกลุ่มด้อยโอกาส ที่ไม่สามารถดูแล ช่วยเหลือตัวเองได้เหมือนบุคคลปกติทั่วไป จะต้องยิ่งเพิ่มความสำคัญการดูแล แก้ไขและพัฒนาด้วยวิธีการที่มีประสิทธิภาพเหมาะสม เพื่อที่จะให้พวกเขาเหล่านั้นสามารถดึงศักยภาพที่มีอยู่ในตัวเองออกมาใช้กับการดำเนินชีวิตที่มีคุณภาพทั้งในปัจจุบันและอนาคตให้ได้ ซึ่งการดูแล ช่วยเหลือและพัฒนาเด็กด้อยโอกาสที่ว่านี้ ประเทศไทยให้ความสำคัญไม่แพ้ต่างชาติเช่นกัน ซึ่งจะเห็นได้จากการที่มีคณะบุคคล หน่วยงาน มูลนิธิต่าง ๆ เข้ามาช่วยเหลือและร่วมกันพัฒนาอยู่จำนวนมาก ซึ่งกลุ่มคน มูลนิธิเหล่านี้ต่างหาทาง วิธีการช่วยเหลืออย่างเต็มที่ จนทำให้กลุ่มบกพร่องทั้งหลายสามารถกลับมามีชีวิตเหมือนกับคนปกติได้จำนวนมาก ซึ่งตัวอย่างที่ว่านี้จะเห็นได้ชัดเจนและเป็นรูปธรรมที่สุด โดยเฉพาะจากพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงสุด ที่ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาสิริวัฒนาพรรณวดี ทรงมีพระกรุณาธิคุณกับพสกนิกรชาวไทย รวมถึงเด็กพิเศษ เด็กด้อยโอกาสโดยเฉพาะกลุ่มออทิสติก ที่ยังไม่ได้รับโอกาสสิทธิพื้นฐาน ทั้งทางด้านการศึกษาและการรับบริการทางการแพทย์ ถูกต้องตามมาตรฐานอย่างทั่วถึงเท่าเทียมกันเท่าที่ควร จึงทรงพระกรุณาให้จัดตั้งมูลนิธิคุณพุ่มขึ้น ซึ่งมูลนิธินี้นอกจากจะเพื่อระลึกถึง “คุณพุ่ม” แล้ว ยังได้เป็นศูนย์รวมใจให้กับทุกฝ่ายที่จะร่วมกันช่วยสานฝันเด็กพิเศษ ออทิสติกให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย
จากระยะเวลาที่มูลนิธิคุณพุ่มได้ก่อตั้งมาครบ 7 ปี ในวันที่ 1 เมษายน 2555 นี้ สามารถดำเนินงานเพื่อช่วยเหลือ พัฒนาเด็กพิเศษ และกลุ่มออทิสติก ให้มีพัฒนาการคุณภาพชีวิตดีขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรมทั้งนี้ก็ด้วยวิธีการแก้ปัญหาและพัฒนาที่มีประสิทธิภาพเหมาะสมอย่างหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นโครงการที่จัดขึ้นอย่างสอดคล้องกับการพัฒนาการของเด็กที่มีข้อบกพร่องในลักษณะต่าง ๆ กัน เช่น โครงการ  Happy G Road show การสร้างความรู้คู่คุณธรรม โครงการ KhunPoom e-learning Center โครงการ Happy G family กิจกรรมค่าย สานรักสานใยครอบครัว โครงการ ร้อนนี้มีกีฬาเพื่อลูกรัก กิจกรรมค่าย Happy G Camp  เรียนรู้โลกกว้าง เป็นต้น
โดยเฉพาะในปี 2554 ที่ผ่านมา มูลนิธิคุณพุ่ม ได้ดำเนินงานที่ก่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่เด็กและเยาวชนกลุ่มดังกล่าวผ่านกิจกรรมที่ทรงคุณค่ามากมาย ซึ่งนอกจากจะได้รับงบประมาณจากรัฐบาลปีละ 53 ล้านบาท มอบเป็นทุนการศึกษาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางสำหรับเด็กที่จะไปฟื้นฟู พัฒนาทักษะตามหน่วยงานต่าง ๆ และจัดหา สื่อ อุปกรณ์ที่มีความจำเป็นต่อการพัฒนา ส่งผลให้เด็กได้รับการพัฒนาจนเกิดความพร้อมเข้าศึกษาต่อในระดับอาชีวศึกษา และอุดมศึกษาได้จำนวนมากแล้ว ยังได้จัดกิจกรรมค่ายธรรมะและศิลปะ ปฏิบัติธรรมเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล 9,900 ความดีเพื่อพ่อของแผ่นดิน 4 ภูมิภาค ซึ่งมีทีมวิทยากรต้นกล้าคุณธรรมของมูลนิธิโพธิวรรณาจ.ฉะเชิงเทรา มาร่วมดำเนินการ กิจกรรมพัฒนาด้วยนวัตกรรมบริการ ผ่านโครงการอาชาบำบัด การใช้คอมพิวเตอร์พัฒนาทักษะด้านอาชีพ ดนตรี ศิลปะ ทักษะชีวิตเพื่อดูแลตนเอง กิจกรรมการเตรียมความพร้อมเข้าสู่การศึกษาต่อระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา การพัฒนาเครือข่ายผู้ปกครอง อาสาสมัคร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อร่วมพัฒนาบุตรหลานของตนเองได้ตั้งแต่แรกพบความพิการ โดยมีสถานศึกษาและโรงพยาบาลเป็นเครือข่าย รวมถึงการจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมทักษะชีวิตบุคคลออทิสติกที่มีความพร้อมทั้งด้านกิจกรรมและเครื่องมือ 12 แห่ง ใน 10 จังหวัด เพื่อให้บริการได้ครอบคลุมทั่วถึงมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้มูลนิธิคุณพุ่มยังได้สนับสนุนให้เกิดงานวิจัยเพื่อพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับเด็กออทิสติก เช่น โครงการเภสัชพันธุศาสตร์เพื่อกลุ่มออทิสติก โครงการวิจัยเพื่อค้นหาตัวบ่งชี้ทางการแพทย์ (Biomarker) ในการเกิดภาวะความผิดปกติแบบออทิสติกสเปกตรัม เพื่อวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ โครงการวิจัยทางสังคมศาสตร์ ซึ่งเป็นโครงการสร้างและพัฒนาตัวบ่งชี้ทางสังคมศาสตร์และแนวทางการส่งเสริมพัฒนาการจำเพาะต่อลักษณะความผิดปกติในเด็กแรกเกิดถึงอายุ 3 ขวบที่ได้รับการวินิจฉัยภาวะความผิดปกติ ออทิสติกสเปกตรัมชนิดต่าง ๆ เพื่อจะได้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการตรวจวินิจฉัย การดูแลรักษาทั้งในด้านการแพทย์และการส่งเสริมพัฒนาการ รวมทั้งการจัดการศึกษาพิเศษได้อย่างถูกต้องเหมาะสม รวมถึงการรณรงค์สร้างความรู้ความเข้าใจแก่สาธารณชนเพื่อลดอัตราการเกิดปัญหาความพิการและการระดมพลังผู้ให้การสนับสนุน สร้างเครือข่ายร่วมพัฒนาเด็ก เยาวชนพิการและด้อยโอกาส ด้วยการจัดทำสารคดีชุด “พลังรัก พลังใจ” เผยแพร่ผ่านสื่อต่าง ๆ เป็นต้น
อย่างไรก็ตามจะเห็นว่าการดำเนินงานที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเกิดจากความร่วมมืออย่างดียิ่งจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือภาคเอกชน จนทำให้มูลนิธิคุณพุ่ม ได้กลายเป็นศูนย์รวมใจทอแสงส่องสว่างนำทางให้กับเด็กพิเศษ กลุ่มออทิสติก ให้สามารถเดินไปสู่เป้าหมายของการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยมูลนิธิคุณพุ่ม ที่ดำเนินงานพัฒนาเด็กกลุ่ม
ออทิสติก จนประสบความสำเร็จได้นั้นก็เพราะมีบุคลากรที่มีความรู้  ความเข้าใจ และเข้าถึง ว่าเด็กพิเศษ และกลุ่มออทิสติก สามารถพัฒนาได้ เพียงแต่จะต้องมีวิธีการพัฒนาที่เหมาะสมกับความบกพร่องที่เกิดขึ้นก็สามารถกระตุ้นศักยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่ออกมาให้เห็นได้ ทั้งนี้เชื่อมั่นว่าหากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเปิดโอกาสให้กับเด็กพิเศษเหล่านี้ได้รับโอกาสการพัฒนาอย่างเท่าเทียมทั่วถึงเช่นเดียวกับเด็กปกติทั่วไปก็จะทำให้พวกเขามีศักยภาพอย่างเต็มที่.

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

มะกันคืนหนังใหญ่อายุกว่า200ปีกลับไทย


วันนี้ ( 26 มี.ค.) นางสุกุมล คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม (วธ.) กล่าวว่า กรมศิลปากรได้รายงานว่า เมื่อเร็วๆนี้ สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตันดีซี สหรัฐอเมริกา เป็นผู้แทนกรมศิลปากรรับมอบหนังใหญ่ ซึ่งเป็นโบราณวัตถุ ศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ อายุประมาณ 200 ปี ทำจากหนังวัว จำนวน 30 รายการ เนื่องจากปี 2552 ชาวสหรัฐอเมริกา คือ ดร.ซาร่าห์ เอ็ม เบ็กเกอร์( Dr.Sarah M Bekker) พร้อมสามีดร.คอนราด เบ็กเกอร์( Dr.Konrad Bekker) มีหนังสือถึงสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี แจ้งขอมอบโบราณวัตถุให้รัฐบาลไทย ซึ่งได้ซื้อต่อมาจากชาวเยอรมันที่ซื้อต่อมาจากนักเชิดหนังชาวไทยเมื่อปี 2453 สมัยต้นรัชกาลที่ 6
นางสุกุมล  กล่าวต่อไปว่า หนังใหญ่ชุดนี้เคยจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์เครื่องหนังเยอรมัน ดังนั้นทางสถานทูตฯ จึงแจ้งเรื่องดังกล่าวมายังกรมศิลปากร เพื่อพิจารณาว่า สมควรรับเข้าเป็นสมบัติของชาติหรือไม่ ซึ่งกรมศิลปากรเห็นสมควรรับมอบไว้ เพราะมีความสำคัญด้านโบราณคดี ประวัติศาสตร์ โดยขณะนี้ได้นำหนังใหญ่ทั้ง 30 รายการมาเก็บรักษาที่คลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (คลังกลาง) ต.คลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี แล้ว โดยหนังใหญ่ทั้ง 30 รายการ มีขนาดแตกต่างกัน แบ่งเป็น ขนาดใหญ่ กว้าง 120-150 เซนติเมตร สูง 150-175 เซนติเมตร 13 รายการ  ขนาดกลาง กว้าง 90-125 เซนติเมตร สูง 85-140 เซนติเมตร 7 รายการ และขนาดเล็ก กว้าง 40-75 เซนติเมตร สูง 70-150 เซนติเมตร 10 รายการ ส่วนใหญ่ตัวภาพเป็นเรื่องรามเกียรติ์ ประกอบด้วย หนังจับ เป็นหนังที่มีภาพในตัวเรื่องตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป หนังคเนจร เป็นหนังภาพเดี่ยว หน้าเสี้ยว อยู่ในท่าเดิน หนังง่า หนังภาพเดี่ยว หน้าเสี้ยว ทำท่าเหาะ คือยกขาข้างใดข้างหนึ่งและหนังเมือง หนังที่ประกอบด้วยภาพอาคาร เช่น ปราสาท ราชวัง วิมาน และหนังเบ็ดเตล็ด เช่น ตัวตลก สัตว์ต่างๆ ในเรื่อง ทั้งนี้จาการตรวจสอบหนังใหญ่ชุดนี้ ทำขึ้นด้วยฝีมือประณีตงดงามยิ่ง คล้ายคลึงกับหนังใหญ่ชุดพระนครไหว ฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ 2 ที่ถือว่าเป็นหนังใหญ่ชุดงามที่สุด
“แม้ว่าหนังใหญ่ทั้งหมดจะมีสภาพชำรุด ตัวหนังบิดงอ และฉีกขาดตามกาลเวลา แต่คุณค่าความสำคัญด้านศิลปกรรมยังคงอยู่ ทั้งนี้ตัวอย่างหนังใหญ่ 30 รายการที่ส่งคืน อาทิ 1.หนังใหญ่ภาพพระลักษมณ์รบกับพระอินทร์แปลง (อินทรชิต) ศิลปะรัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลที่ 2 ลักษณะเป็นหนังจับ เป็นหนังเรื่อง ตอนหนุมานหักคอช้างเอราวัณ อินทรชิตแปลงกายเป็นพระอินทร์ออกรบกับพระลักษมณ์ ตัวภาพทั้งสองอยู่ในท่ารบ ต่างเงื้อง่าศรเข้าต่อสู่พระลักษมณ์อยู่ทางด้านซ้ายเหยียบหลังอินทรชิต ซึ่งเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ และ2.หนังใหญ่ภาพพระรามนั่งเมือง เป็นตัวภาพพระรามอยู่ในท่านั่งบนพระแท่นบัลลังก์ ภายในปราสาทด้านหลังมีมหาดเล็ก เด็กหนุ่ม เกล้าจุกอยู่งานพัด” นางสุกุมล กล่าว

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

"ประเวศ"ชี้ปฎิรูปการศึกษาไม่เห็นผลเพราะมัวแต่ปฎิรูปองค์กร


วันนี้( 26 มี.ค. ) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (มธบ.)  สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ มธบ. จัดสัมมนาวิชาการ เรื่อง “การจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วมขององค์กรในชุมชนเพื่อสุขภาวะคนไทย” โดยศ.นพ.ประเวศ วะสี อดีคประธานคณะสมัชชาปฎิรูประเทศ กล่าวปาฐกถาพิเศษว่า ถ้าจะให้การปฏิรูปการศึกษาให้ได้ผล ต้องปฏิรูปที่แนวคิดไม่ใช่ปฎิรูปที่องค์กร ที่ผ่านมาตนเคยเสนอเรื่องนี้แต่ไม่มีใครสนใจ จนปัจจุบันทำให้ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใด ๆจากการปฎิรูปการศึกษายกเว้นองค์กร ขณะที่การสอนยังเป็นแบบท่องจำเนื้อหาจากตำรา ทำให้ล้าหลัง ดังนั้นครูจะต้องปรับการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง ทำให้เห็นผลจริงเป็นตัวตั้ง ขณะดียวกันต้องทำให้นักเรียนสนุกกับการเรียนไม่ใช่เป็นทุกข์ ที่สำคัญจะต้องพัฒนาการศึกษาอย่างบูรณาการโดยใช้กระบวนการชุมชนเป็นฐาน ด้วยการส่งเสริมให้ชุมชนสามารถจัดการตนเองได้  โดยมีชมรมรักการอ่าน ห้องสมุดหมู่บ้าน มีศูนย์เด็กเล็ก ศูนย์การเรียนรู้ในชุมชน เป็นต้น เพราะขณะที่นี้เราหมู่บ้าน 8 หมื่นหมู่บ้าน มีตำบล 8,000 ตำบล  ดังนั้นถ้าเราทำให้ทุกพื้นที่แข็งแรงได้จะทำให้ประเทศเข้มแข็งแน่นอน
ด้าน ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการ สสส. กล่าวว่า  สสส. ได้ร่วมกับศูนย์วิจัยและฝึกอบรมทางการศึกษา วิทยาลัยครุศาสตร์ มธบ. ศึกษาวิจัยการจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วมขององค์กรในชุมชน เพื่อออกแบบการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับสุขภาวะของคนไทย โดยทุกคน องค์กร สถาบัน อาทิ วัด มัสยิด ชุมชน และแหล่งเรียนรู้อื่นๆ มีสิทธิจัดการศึกษาและการเรียนรู้ เชื่อมโยงกันได้ตลอดชีวิต โดยเริ่มนำร่องใน 38 องค์กร ใน 11 จังหวัดทั่วประเทศ ร่วมกับเครือข่ายกว่า 200 องค์กร สำรวจความต้องการของชุมชนและนำมาออกแบบการศึกษา หลักสูตรที่องค์กรในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมเบื้องต้นพบว่า มีโรงเรียน ชุมชน วัด จำนวนมากที่จัดการศึกษาได้อย่างน่าสนใจ อาทิ ชุมชนลำพญา อ.บางเลน จ.นครปฐม ได้รับรางวัลองค์กรที่จัดการศึกษาดีเด่นระดับประเทศ ได้เริ่มจากการจัดประชุมประชาคม เพื่อวิเคราะห์ปัญหา สรุปความต้องการของชุมชน และผสานความร่วมมือระหว่างผู้บริหารท้องถิ่น สถานศึกษา พัฒนาตลาดน้ำวัดลำพญาที่ไม่ใช่จะเป็นเพียงแต่สถานที่ท่องเที่ยว แต่ยังเป็นตลาดนัดความรู้ของชุมชน และนักท่องเที่ยวด้วย ซึ่งความสำเร็จจากองค์กรต้นแบบเหล่านี้ จะนำมาประเมินเพื่อหาทางขยายผลการดำเนินงานให้กว้างขวางมากขึ้น

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

วิทยาศาสตร์ใกล้ตัว แชมป์นักวิทย์รุ่นเยาว์ 2012 - ฉลาดสุดๆ





ร่วมสนับสนุนการคิดที่เป็นวิทยา ศาสตร์…กับผลงานของน้อง ๆ เยาวชนไทยที่เข้าประกวดในโครงงานนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ครั้งที่ 14  หรือ YSC  2012

ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในงานมหกรรมประกวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ครั้งที่ 11 ที่ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ร่วมกับ บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดขึ้น เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

โครงการดังกล่าวมีเยาวชนไทยสนใจร่วมนำเสนอผลงานจากทั่วประเทศจำนวน 895 โครงงาน  ได้รับการสนับสนุนโครงงานจำนวน 227 โครงงาน และผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ 52 โครงงาน

หลังจากที่น้อง ๆ ได้นำเสนอผลงานให้กับผู้สนใจรวมถึงคณะกรรมการได้พิจารณาแล้ว ผลปรากฏว่า โครงงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศมี จำนวน 3 โครงงาน
 
โดยเป็นผลงานในสาขาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมถึง 2 โครงงาน คือ โครงงานบทบาทของหอยทากสยามในสวนยางพารา ผลงานของนายณัฐพงษ์  ชิณรา นายจตุพร ฉวีศักดิ์ และนางสาวนันทกานตร์ ล่องโลด  นักเรียนจากโรงเรียนสุราษฎร์พิทยา  จ.สุราษฎร์ธานี  และ โครงงานการศึกษาความสัมพันธ์การย่อยสลายอาหารของมดแดงกับคุณค่าทางโภชนาการในไข่มดแดงของนายกิตติ์ธเนศ ธนะรุ่งโรจน์ทวี จากโรงเรียนกันทรารมณ์ จ.ศรีสะเกษ

น้องจตุพร ฉวีศักดิ์ หรือน้องเดียร์ ตัวแทนทีมสุราษฎร์พิทยา บอกถึงที่มาของการศึกษาบทบาทของหอยทากสยามในสวนยางพาราว่า  เนื่องจากเป็นเรื่องใกล้ตัว ชาวบ้านส่วนใหญ่เชื่อกันว่าหอยทากเป็นศัตรูสำคัญของชาวสวนยาง เพราะกินน้ำยางพารา และอาจทำให้เกิดเชื้อราบนหน้ายางได้ง่าย รวมถึงทำให้น้ำยางลดลง  แต่จากการศึกษางานวิจัยพบข้อมูลว่าเมือกของหอยทากเป็นสารต้านเชื้อแบคทีเรีย ทำให้ทีมงานสงสัยในข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงเลือกที่จะศึกษาบทบาทของหอยทากในสวนยางพารา

น้องเดียร์ บอกว่า ที่เลือกหอยทากสยาม เพราะพบมากโดยเฉพาะในเขตพื้นที่สวนยางของสุราษฎร์ธานี จากการศึกษาพบว่าหอยชนิดนี้จะกินน้ำยางรวมถึงเศษอินทรีย์ในสวนยางเป็นอาหาร ออกหาอาหารในช่วงกลางคืนถึงเช้ามืด และจากการพิสูจน์ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์แล้วสามารถสรุปได้ว่า หอยทากอาจไม่ได้เป็นศัตรูกับชาวสวนยางพารา เพราะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย

โดยข้อเสียก็คือ กินน้ำยางพาราเป็นอาหาร แต่ก็ถือว่าปริมาณน้อยมาก และเมือกของหอยทากอาจทำให้ท่อน้ำยางอุดตันทำให้น้ำยางที่กรีดได้ลดลง แต่ขณะเดียวกันเมือกดังกล่าวสามารถป้องกันการเกิดเชื้อราบนหน้ายางได้ ซึ่งตรงข้ามกับความเชื่อดั้งเดิมของชาวบ้าน นอกจากนี้ยังมีความสำคัญทางอ้อมในระบบนิเวศในสวนยาง ทำให้ยุงในสวนยางลดลงได้อีกด้วย  ทั้งนี้สามารถที่จะการนำเมือกของหอยทากไปพัฒนาต่อยอดเป็นสารอินทรีย์ป้องกันการเกิดเชื้อราที่หน้ายางทดแทนสารเคมีนำเข้าได้อีกด้วย

สำหรับโครงงานศึกษามดแดง น้องเกมหรือนายกิตติ์ธเนศ ธนะรุ่งโรจน์ทวี บอกว่าเป็นการศึกษากรรมวิธีการเลี้ยงมดแดงให้ได้ไข่มดแดงที่มีคุณค่าทางอาหารสูง เพื่อให้คนหันมาเลี้ยงมดแดงเพื่อเอาไข่ แทนการนำมาจากธรรมชาติที่จะทำลายระบบนิเวศ

ส่วนอีก 1 โครงงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศเป็นสาขาคณิตศาสตร์ คือ โครงงานการจำแนกชนิดของ trivalent graph โดยใช้รหัสเกาส์ ผลงานของนายกานต์ อิ่มวัฒนา และนายวรฐ  ภควัตสุนทร นักเรียนจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการศึกษาเรื่องของทฤษฎีปม ที่มีที่มาจากความสงสัยในเรื่องของปมในสายหูฟังที่มักจะยุ่งเหยิงอยู่ตลอดเวลา ผู้พัฒนาสามารถคิดหาวิธีการในการอธิบายทฤษฎีที่ค้นพบได้ด้วยรหัส และสามารถนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการคำนวณได้อีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีผลงานของนักวิทย์รุ่นเยาว์ที่น่าสนใจอีกหลายชิ้น อาทิ การพัฒนาคุณภาพของหนังเทียมจากแผ่นแบคทีเรียเซลลูโลส ของนายพรพสุ พงศ์ธีระวรรณ อดีตแชมป์ปีที่แล้วและเคยได้รับรางวัลระดับโลกมาแล้ว ปีนี้นำผลงานมาต่อยอดให้ดีขึ้น จนได้หนังเทียมจากวุ้นมะพร้าว ที่มีคุณสมบัติดีขึ้น คือ เหนียว ไม่เหม็นและยังสามารถซักน้ำได้

จากผลงานเหล่านี้ เรียกได้ว่า การอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ อธิบายและหาคำตอบให้กับปัญหาใกล้ ๆ ตัว ก็คือ จุดเริ่มต้นของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ที่ก้าวขึ้นมาเป็นแชมป์ระดับประเทศ

และทั้ง 3 ทีมที่ชนะเลิศ จะเป็นตัวแทนเยาวชนไทยไปแข่งขันอวดความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในระดับโลกในงานอินเทล อินเตอร์เนชั่นแนล ซายน์ แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง แฟร์ หรือ อินเทลไอเซฟ ที่เมืองพิตส์เบิร์ก มลรัฐเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในเดือนพฤษภาคมนี้.
นาตยา  คชินทร
nattayap.k@gmail.com

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th