วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2555

ธุรกิจการบินตื่นตัวช่วยโลกลดมลภาวะ


บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และพันธมิตรภาคการบิน จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการณ์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เชื้อเพลิงชีวภาพและการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพการบิน ระหว่าง 20-21 มีนาคมที่ผ่านมา หวังภาครัฐสนับสนุนนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม และร่วมพัฒนาเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพอย่างยั่งยืน
นาวาอากาศตรีอลงกต พูลสุข ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายพัฒนาทรัพยากรการบิน บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สำหรับการบินไทย แนวคิดพัฒนาพลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพ มุ่งลดปัญหาสภาวะเรือนและภาวะโลกร้อน จึงเริ่มศึกษาแนวทางพัฒนาสำหรับอุตสาหกรรมการบินอย่างยั่งยืน ตั้งแต่ปี 2548 โดยมีการพูดคุยกับกระทรวงพลังงาน และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อผลักดันให้โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้  ที่ผ่านมาการบินไทยได้ร่วมมือกับ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด  บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)  บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)  บริษัท โรล์สรอยซ์ จำกัด  บริษัท สกายเอ็นเนอร์ยี่ และบริษัท โบอิ้ง คอมเมอร์เชียล จำกัด จัดเที่ยวบินพิเศษ เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2554 ทำการบินด้วยน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ และวันที่ 22 ธันวาคม 2554 จัดเที่ยวบินเชิงพาณิชย์ที่ทำการบินเป็นเที่ยวบินแรกในเอเชีย เส้นทาง กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ วัตถุประสงค์เพื่อผลักดันให้ภาครัฐร่วมสนับสนุน ทั้งในด้านการส่งเสริม การลดภาษีน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ จัดตั้งหน่วยงานกลางทำหน้าที่รับผิดชอบและผลักดันการพัฒนาพลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพอย่างยั่งยืนให้เกิดขึ้นภายใน 5 ปี
โดยแนวทางในการพัฒนาเชื้อเพลิงดังกล่าว จะต้องได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ที่จะทำให้เกิดผลผลิตของพลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพ ที่ได้จากพืชพรรณต้องไม่ไปเบียดบังพื้นที่การเกษตรสำหรับอาหาร หากสำเร็จจะช่วยลดความเสี่ยงในด้านของต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่มีแนวโน้มขยับตัวสูงขึ้นทุกปี ถ้าไทยสามารถผลิตพลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพเองได้ แม้จะในอัตราส่วนไม่มาก แต่จะช่วยให้ไทยได้รับผลกระทบน้อยลงแน่นอน
สำหรับพันธมิตรภาคการบินที่ร่วมสัมมนาได้เผยนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมขององค์กร เช่น สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา มีโครงการเน็กเจน เพื่อลดมลภาวะทางเสียงรอบสนามบินจากการบินและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเพิ่มรูปแบบวิทยาศาสตร์การบินให้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังศึกษาเชื้อเพลิงชีวภาพชนิดใหม่ๆ ภายใต้เงื่อนไขวัตถุดิบต้องก่อให้เกิดคาร์บอนในระดับต่ำ
ขณะที่ โบอิ้ง ระบุว่า ได้ปรับเปลี่ยนการสร้างเครื่องบินให้สามารถประหยัดได้ 25-30% ส่วนยูไนเต็ดแอร์ไลน์ หันใช้พลังงานสังเคราะห์ ใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ ลงทุนซื้อเครื่องบินรุ่นประหยัดพลังงาน และหมุนเวียนวัสดุที่ใช้บนเครื่องบิน.

แหล่งที่มาของข้อมูล www.dailynews.co.th      

กพช.ไฟเขียวกู้เงิน 2 หมื่นล้านบาทอุ้มแอลพีจี


วันที่ 23 มี.ค. นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบการจัดหาเงินให้กับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อเสริมสภาพคล่องของกองทุนฯที่ต้องมีภาระในการชดเชยราคาก๊าซแอลพีจี โดยให้กู้เงินจากสถาบันการเงิน หรือออกตราสารหนี้จำนวน 20,000 ล้านบาท ระยะเวลาชำระหนี้ภายใน 3 ปี ขณะที่วงเงินกู้เดิมจำนวน 10,000 ล้านบาทนั้น ได้เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการชำระคืนหนี้เงินกู้จาก 1 ปีเป็น 3 ปี โดยให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) ขอขยายระยะเวลาการชำระหนี้คืนได้ตามความจำเป็น และเหมาะสมหากกองทุนน้ำมันฯมีสภาพคล่องเหลือไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้
รองนายกระบุอีกว่า กองทุนฯ ยังมีภารกิจที่ต้องชดเชยราคาก๊าซแอลพีจี หรือก๊าซหุงต้ม ตามแผนเดิม และมีแผนค่อยๆปรับราคาขึ้นอย่างช้าๆ เพราะในอดีตเราควบคุมราคาไว้ในระดับต่ำมาก น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของราคาขายในประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้นจึงต้องปรับตัว ไม่เช่นนั้นก็จะถูกลักลอบ และต้องไปชดเชยผู้บริโภคที่อยู่นอกประเทศ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องกู้เงินเข้ามาให้เกิดสภาพคล่อง โดยวงเงินที่กู้นี้จะทำให้กรอบเงินกู้ขยับไปเป็น 30,000 ล้านบาท และเป็นวงเงินที่ไม่มาก เพราะในอดีตเรามียอดเงินที่สูงกว่านี้หลายเท่า ทั้งนี้ที่ประชุมยังพิจารณาแนวทางการประหยัดพลังงานของหน่วยงานภาครัฐ ทั้งการลดการใช้ไฟฟ้า และการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ไฟฟ้า ซึ่งจะสามารถลดใช้พลังงานได้ 15% คาดว่าจะใช้วงเงินรวมกว่า 6,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามยังได้สั่งให้กระทรวงพลังงานดำเนินโครงการบริหารจัดการเพื่อการประหยัดพลังงานในอาคารควบคุมภาครัฐ มีโครงการนำร่องการบริหารจัดการเพื่อการประหยัดพลังงานของส่วนราชการ 3 แห่ง คือ บริเวณอาคารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศูนย์รังสิต) ,มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา โดยคาดว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวจะเป็นตัวอย่างให้กับภาคเอกชน และประชาชนในด้านอนุรักษ์พลังงานได้เพิ่มขึ้น
นายกิตติรัตน์กล่าวว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบให้ขยายเวลาการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ของโครงการน้ำงึม3 ซึ่งมีกำลังการผลิตติดตั้ง 440 เมกกะวัตต์ ออกไปจากเดิมในเดือนม.ค.60 เป็นหลังเดือนก.พ.61 เนื่องจากพื้นที่โครงการได้รับความเสียหายจากพายุไหหม่า จึงจำเป็นต้องใช้เวลาปรับปรุงและก่อสร้างใหม่ รวมทั้งยังเห็นชอบอัตราค่าไฟฟ้าใหม่ของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการโรงไฟฟ้าน้ำงึม1 และโครงการเขื่อนเซเสด โดยลดอัตราค่าไฟที่รัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาวซื้อจากไทยลง 0.05 ต่อหน่วย.

แหล่งที่มาของข้อมูล www.dailynews.co.th      

“วิรุฬ”ลุยโครงการปล่อยกู้ซื้อบ้านไม่ใช้สลิปเงินเดือน


เมื่อวันที่ 23 มี.ค. นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รมช.คลัง ในฐานะกำกับดูแลสถาบันการเงินของรัฐ เห็นชอบตามนโยบายของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ที่ให้ศึกษาเรื่องการดำเนินโครงการปล่อยกู้ให้ผู้มีอาชีพอิสระ สามารถกู้เงินซื้อที่อยู่อาศัยได้โดยไม่ต้องมีสลิปเงินเดือน โดยจะมอบหมายให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐเพียงแห่งเดียวที่รับผิดชอบทำโครงการนี้         
“ที่ผ่านมาธอส.ได้หารือกับ สศค. และได้ข้อสรุปเบื้องต้นแล้ว และพร้อมที่จะเตรียมตั้งวงเงินในการปล่อยสินเชื่อในโครงการนี้ไม่น้อยกว่า 12,000 ล้านบาท ส่วนแนวทางและเงื่อนไขในการดำเนินโครงการนั้น กำลังหารืออยู่ ยืนยันว่าจะหาทางพิจารณาเรื่องหลักประกันเพื่อป้องกันความเสี่ยง ส่วนดอกเบี้ยนั้น จะไม่คิดแบบลูกค้าปกติหรือเป็นโครงการดอกเบี้ยพิเศษ เพราะถือเป็นกลุ่มที่เสี่ยง โดยอาจจะคิดดอกเบี้ยเอ็มอาร์อาร์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 7.250% แบบมีส่วนลด ทั้งนี้ ธนาคารยืนยันว่าจะดำเนินโครงการโดยไม่กระทบต่อฐานะการคลังและจะไม่ขอเงินชดเชยจากรัฐบาล”
 
ทั้งนี้ จะกำหนดวงเงินกู้ต่อราย ซึ่งอาจจะดูจากที่มาของรายได้ว่าจะปล่อยกู้ได้เท่าไร เพื่อป้องกันความเสี่ยง ในหลักการเรื่องนี้ นายกิตติรัตน์เห็นชอบแล้ว แต่ต้องทำรายละเอียดเพื่อให้พิจารณาก่อนนำเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเร็ว ๆ นี้

แหล่งที่มาของข้อมูล www.dailynews.co.th     
 

ททท.จับมือกูเกิล ทำกูเกิล สตรีท วิว 3 จังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ


ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เปิดเผยว่า ททท. ได้จับมือกับกูเกิล เปิดตัวบริการแผนที่ในมุมมองภาคพื้น หรือกูเกิล สตรีท วิว ในไทย เพื่ออำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติที่ต้องการใช้แผนที่ประกอบการเดินทาง มองเห็นภาพสถานที่ต่างๆ ได้เสมือนขับรถจริงอยู่ เพราะภาพในกูเกิล สตรีท วิว เป็นภาพระดับท้องถนน 360 องศา ซึ่งไทยถือเป็นประเทศที่ 35 ในโลกที่มีบริการนี้ เบื้องต้นได้จัดทำกูเกิล สตรีท วิว ใน 3 จังหวัดท่องเที่ยวสำคัญของไทยก่อน ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต และเชียงใหม่ คาดว่าหลังจากเปิดตัวไปแล้ว จะสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการมาเที่ยวในไทยมากขึ้น 

นายเคอิ คาวาอิ, ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายผลิตภัณฑ์สตรีทวิว จากสำนักงานใหญ่ของกูเกิล ที่เมืองเมาเทนวิว แคลิฟอร์เนีย กล่าวว่า สาเหตุที่ขยายบริการสตรีทวิวให้ครอบคลุมประเทศไทย เพราะเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับความนิยมของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

แหล่งที่มาของข้อมูล www.dailynews.co.th      

“หน่อง”ขอเวลาพิสูจน์ตัวเอง - หนุ่มฮอตหนุ่มฮิพ


 
 เรียกว่าเป็นอีกหนุ่มที่ฮอตตั้งแต่ยังไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันสำหรับ หน่อง-ธนา ฉัตรบริรักษ์ น้องชายแท้ ๆ ของหนุ่ม บอย-ปกรณ์ ที่ล่าสุดวันนี้มีทั้งซีรีส์เรื่องแรก "จุดนัดภพ" แถมยังเตรียมจ่อด้วยบทพระเอกรองใน "บ้านนอกเข้ากรุง" อีก แหม...! งานเข้าซะขนาดนี้ เราเลยต้องรีบคว้าตัวเขามานั่งเปิดใจคุยกันสักหน่อย

ถูกเปรียบเทียบกับพี่ชาย…ต้องพิสูจน์ตัวเอง

 
รู้สึกยังไงบ้างที่เราถูกจับตามองตั้งแต่ก่อนจะเป็นนักแสดงเต็มตัว?

“จากที่พี่ผมมีชื่อเสียง มันก็เลยเป็นที่จับตามอง แล้วก็เอาไปเปรียบเทียบบ้าง บอกว่าผมเข้ามาตรงนี้เพราะพี่ผมบ้าง มันก็จริงแหละ เพราะไม่มีพี่ผมคงไม่มีโอกาสถึงตรงนี้ เขาก็คอยดันผม บางทีคนก็คาดหวังที่ผมเป็นน้องของบอย-ปกรณ์ แต่ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกกดดันนะ ซึ่งการที่พี่บอยพาผมเข้าวงการมา มันก็ยิ่งเป็นการที่ผมต้องพิสูจน์ตัวเอง ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำดีแค่ไหน คนถึงพอใจ ผมรู้แค่ว่าผมจะทำดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ และพยายามพัฒนามาเรื่อย ๆ ครับ แล้วให้คนรอดูผลงานดีกว่าว่าดีหรือไม่ดียังไง”

นอยด์มั้ยเวลาถูกเปรียบเทียบ?

“ผมก็รู้สึกท้อนะ คือผมเข้าไปอ่านที่เขาเปรียบเทียบในอินเทอร์เน็ตแล้วก็รู้สึกเราเป็นอย่างนั้นเหรอ หลัง ๆเลยเลิกอ่านไปเลย เพราะอ่านแล้วเก็บมานั่งคิดก็เสียสุขภาพจิตตัวเองเปล่า ๆ คือปกติผมเป็นคนแบบใครพูดอะไรมาก็ช่างมัน แต่บางทีเรื่องแบบนี้มันก็มากระทบผมบ้าง”

ข่าวก็หนักข้อถึงขั้นว่าเราทะเลาะกัน แข่งกันดัง?

“มันเริ่มมาจากที่ผมไปตั้งสเตตัสในเฟซบุ๊กว่า “อย่ารังแกธนา ด้วยคำว่าบอย-ปกรณ์ เลย” ต้องบอกไว้ก่อนว่าเรื่องของการตั้งสเตตัส ผมตั้งเป็นปีแล้วเกี่ยวกับพี่บอยว่าให้แฟนคลับช่วยทำเสื้อสกรีนว่าผมไม่ใช่บอย-ปกรณ์ อะไรแบบนี้ ก็ตั้งเล่นของผมนั่นแหละ แต่มันเพิ่งมาเป็นประเด็นว่าผมกับพี่บอยว่าทะเลาะกันหรือเปล่า คือเรื่องทะเลาะกันระหว่างผมกับพี่ ใครจะดังกว่า มันไม่มีหรอก เราส่งเสริมกันมากกว่าครับ ถ้าจะทะเลาะจะเป็นเรื่องเล็กน้อย งอนกันไปมามากกว่า”

 
ตัวตนแท้จริงและชีวิตหลังเข้าวงการ

 
เห็นมาดกวน นิสัยส่วนตัวเราเป็นยังไง?

“จะเป็นคนเงียบ ๆ ขี้อาย แต่ถ้าได้รู้จักกับคน ๆ นึง ก็จะคุยกันสนุกสนาน คือคนที่ไม่รู้จักผมก็จะไม่คุย เพราะไม่รู้ว่าจะคุยอะไร มันจะเกร็ง ซึ่งพอเข้าวงการพอผมพูดว่าขี้อายทุกคนก็งงนะ (ยิ้ม) ถามว่าต้องปรับตัวยังไงมั้ย ผมก็พยายามทำจุดด้อยให้เป็นจุดเด่น เจอใครก็ทัก ก็เล่นด้วย แต่ทุกวันนี้ก็เริ่มโอเคแล้วครับ”

บอยมีเตือนเรื่องอะไรเป็นพิเศษมั้ย?

“เขาก็สอนเรื่องการวางตัว เวลาคุยกับนักข่าว พี่เขาจะเน้นเรื่องมารยาท การพูดจา เพราะเขารู้ว่าผมเป็นคนพูดตรง ๆ ไม่ค่อยแคร์ความคิดคนอื่น พูดจาไม่เพราะ เขาก็คอยเตือน ผมก็เก็บมา คือมันเปลี่ยนเลยไม่ได้หรอก แค่เอามาปรับให้ดีขึ้น คือด้วยความที่พี่บอยเขาถูกจับตามองมาก่อนแล้ว ผมก็รู้สึกดีนะที่เขามีคนมาชอบ จนมาถึงวันนี้ก็มีคนเริ่มมาสนใจผมบ้างแล้ว ผมก็รู้สึกดีและภูมิใจที่ทำให้ตัวเองมีชื่อเสียง ทำให้แม่ภูมิใจด้วย”

พอมีชื่อเสียง ชีวิตส่วนตัวก็จะหายไป เตรียมตัวรับมือยังไงบ้าง?

“ปกติผมจะเป็นคนเรื่อย ๆ สบาย ๆ ออกมาข้างนอกก็แต่งเสื้อยืด รองเท้าแตะ แต่พอเป็นที่จับตามอง ก็ต้องวางตัวให้มันดีขึ้น ทั้งการแต่งตัว บุคลิก การใช้ชีวิตกับเพื่อนฝูง ซึ่งตอนนี้ก็ยังต้องปรับไปเรื่อย ๆ ยังไม่ถือว่าโอเคครับ”

 
วัยเด็ก...สนิทแม่และพี่ชาย

 
ชีวิตในวัยเด็กเป็นยังไงบ้าง?

“ผมใช้ชีวิตกับคุณแม่มาตั้งแต่ประมาณ 10 ขวบ เพราะคุณพ่อกับคุณแม่แยกกันอยู่ แม่ก็ดูแลกันมาอย่างนี้ และผมจะสนิทกับพี่บอย เพราะจะเล่นอะไรเหมือนกัน ชีวิตวัยเด็กของผมกับพี่บอยก็อยู่ด้วยกันมาตลอด แต่พอช่วงหลังที่พี่บอยเริ่มเข้าวงการก็จะไม่ค่อยได้เจอกันแล้ว แล้วพอผมเข้าวงการมาอีกคนเวลาก็ยิ่งน้อยลงไปอีก เวลาให้แม่ก็น้อยไปด้วย ดังนั้นพอว่างปุ๊บทั้งผมและพี่บอยก็อยากเอาเวลาให้แม่ครับ”

อาชีพนักแสดงคือความใฝ่ฝันของเรามั้ย?

“ไม่ใช่ครับ ตอนแรกก็แค่คิดว่าจะถ่ายแค่โฆษณาแล้วก็จบ จากนั้นก็ตั้งใจไปเรียนต่อโท คือผมไปเรียนภาษาที่จีนมา แล้วช่วงระหว่างปิดเทอม 2 เดือน ก็มีคนติดต่อเล่นเรื่องบันทึกกรรม ก็เลยคุยกับแม่ว่าเอายังไง ผมอยากกลับ แต่แม่อยากให้อยู่ สุดท้ายผมก็เชื่อแม่ เพราะแม่บอกว่าโอกาสเข้ามาแล้วนะ เราก็รับเล่น จากนั้นก็เริ่มสนุก พองานอะไรเข้ามาปุ๊บผมก็รับหมดเลย พอบันทึกกรรมเสร็จ ก็มีหนังดังสุดสัปดาห์เข้ามาต่อ จากนั้นทางช่องก็เรียกเข้าไปเซ็นสัญญาครับ ก็บอกได้เลยว่าตอนนี้ผมติดใจงานในวงการแล้วครับ (ยิ้ม)”

 
สาวข้างกายต้องผ่านการสกรีนจากคุณแม่

 
หัวใจตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?

“ตอนนี้ไม่มีใครเลยครับ เพราะว่าถ่ายละคร 7 วัน คิดว่าจะคุยกับใคร ณ ตอนนี้คงจะไม่ดี เพราะเหมือนเราให้เวลาเขาไม่ได้ แต่ถ้ามีโอกาสจริง ๆ ก็ลองคุย ๆ แหละ”

เห็นก่อนหน้านี้บอกว่ามีแฟนแล้วเพิ่งเลิกไป สาเหตุมาจากการที่เราเข้าวงการหรือเปล่า?

“ไม่เกี่ยวครับเราเลิกก่อนที่จะมาตรงนี้นะ เหมือนมันอิ่มตัว คุยต่อไปอาจจะยิ่งแย่ลง ก็ตัดสินใจที่จะเลิกคุยกันดีกว่า ถามว่าตอนนี้เราเปิดใจมั้ย ผมเปิดใจหมด แต่ก็ต้องเป็นคนดีและต้องผ่านแม่ ให้แม่ตรวจสอบ ถ้าผ่านก็โอเค”

ไม่เคยปรึกษาเรื่องความรักกับบอยเลยเหรอ?

“ไม่มีครับ เหมือนกับว่าเราเขินกันและบางทีก็ไม่รู้จะคุยอะไร ไม่อยากคุย คือทุกอย่างคุยได้ แต่เรื่องนี้ไม่คุยกัน พี่บอยก็เคยเอาเรื่องนี้มาคุยกับผมบ้างนะ แต่ว่าก็น้อยมากครับ คือส่วนตัวเรายุ่งกันเว้นแต่เรื่องความรักนี่แหละครับ”

เราวาดฝันผู้หญิงในอุดมคติยังไงมั้ย?

“ก็ไม่ได้วาดไว้นะ แต่ต้องเป็นคนดี เข้าใจเราและงานของเรา ว่าทำงานตรงนี้มีเวลาให้น้อย และนักแสดงก็มีฉากเลิฟซีน ต้องเข้าใจตรงนี้ด้วย ต้องไม่มีนิสัยงอแงเป็นเด็ก ๆ ส่วนสเปกที่เป็นรูปร่างหน้าตาก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ แล้วแต่ที่จะเห็น คือผมเน้นหน้าตาก่อนนะ พอเห็นหน้าตาปุ๊บค่อยไปศึกษานิสัยครับ”

สาวคนไหนอยากอยู่ข้างกายหนุ่มหน่อง ก็ต้องรีบไปฝากตัวกับคุณแม่นะจ๊ะ.

วันวิสาข์ ดอกเงิน  รายงาน

ราตรีนี้สาว ๆ ขอสวย - สตาร์ เทรนดี้


หลายวีกที่ผ่านมามีงานประกาศรางวัลต่าง ๆ ขึ้นเยอะแยะมากมาย “ก้อยโกะ” เลยหยิบชุดสวย ๆ มาให้ได้ดูกันสาว ๆ แต่ละคนเลือกชุดเริด ๆ มาประชันกันสุดฤทธิ์ เชื่อว่ามีหลายชุดที่คุณสาว ๆ จะต้องร้อง “ว้าว!” อย่างแน่นอน ไปดูกันเลยดีกว่าว่าชุดแต่ละคนเป็นอย่างไรกันบ้าง

จิ๊บ-ปกฉัตร เทียมชัย

“จิ๊บมาในชุดราตรีสีเขียว มองไปมองมาท่อนบนเหมือนเป็นชุดตะเบ็งมานของไทยสมัยก่อน เผยให้เห็นผิวขาวจั๊วน่าเจี๊ยะแถว ๆ ลิ้นปี่ จิ๊บเพิ่มจุดเด่นด้วยการทำผมทรงเก๋ ใส่ตุ้มหูระย้าคู่ยาวและกำไลข้อมือสีทองเข้าเซตกัน ถึงชุดจะดูเรียบ ๆ แต่ก็ยังดูดี”

นัท มีเรีย

“เป็นสาวผิวผ่องอีกคนหนึ่งก็ว่าได้ สำหรับนัท วันนี้เธอใส่ชุดเกาะอกกำมะหยี่สีม่วงเข้ม สะกดสายตาผู้พบเห็นได้เป็นอย่างดี ชุดนี้ขับผิวของเธอผ่องเป็นยองใย เกล้าผมทรงคลาสสิก ใส่ตุ้มหูและกำไลข้อมือเข้าชุดเป็นอย่างดี เป๊ะสุด ๆ เลยทีเดียว”

นุ่น-ศิรพันธ์ วัฒนจินดา

“ไม่เห็นหน้าสาวคนนี้มานานแล้ว แต่นาน ๆ เจอทีนุ่นก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง เธอมาในชุดเดรสยาวสีงา ข้างหน้าดูเรียบร้อย แต่ข้างหลังแอบคว้านลึกให้ความรู้สึกเซ็กซี่เล็ก ๆ นุ่นเซตผมทรงเก๋ ใส่ตุ้มหูสีทองคู่ยักษ์และรองเท้าสีทอง ดูเผิน ๆ ชุดนี้เรียบแต่ดูหรูไม่แพ้ใคร”

ปอย-ตรีชฎา มาลยาภรณ์

“ปอยมาในชุดขาวดูหวาน เพิ่มความเก๋ด้วยการใส่โบสีดำที่คอ ท่อนล่างเจ้าตัวใส่กางเกงขาสั้นสีขาวไว้ข้างใน ด้านนอกคลุมด้วยผ้าซีทรูสีขาว ให้อารมณ์เซ็กซี่แบบแบ๊ว ๆ ปล่อยผมยาวตรงสวย แต่ถักเปียเล็ก ๆ คาดด้านข้าง สวมรองเท้าสีเงินเข้ากับโทนของชุด”

พลอย-เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์

“เป็นสาวสวยที่มักจะหาชุดสวยมาสะกดสายตาหนุ่ม ๆ ได้อยู่เสมอ สำหรับพลอย-เฌอมาลย์ คราวนี้เธอมาในชุดเดรสสั้นสีดำด้านใน ข้างนอกเป็นซีทรูปักคริสตัลทั้งตัว ดูเซ็กซี่
และหรูสุด ๆ ส่วนทรงผมก็ยีตั้งทั้งหัวดูเปรี้ยวเท่จริง ๆ”

พัดชา เอนกอายุวัฒน์

“สาวมั่นพัดชามาในชุดคล้องคอสีเหลือง ถึงผมจะสั้นแต่เธอก็เซตออกมาได้เก๋แบบน่ารัก ๆ ให้ความรู้สึกสดใส ใส่ตุ้มหูคริสตัลใสคู่ใหญ่ รองเท้าสีแดงชวนให้สะดุดตา ถึงแม้จะไม่ได้โทนสีเดียวกับชุด แต่ชุดเหลืองรองเท้าแดงก็ให้ความรู้สึกถึงฤดูร้อนแห่งสีสันเป็น
อย่างมาก”

ยิปโซ-รมิตา มหาพฤกษ์พงศ์

“ยิปโซมาในชุดที่เก๋ทั้งดีไซน์และลายผ้า ท่อนบนเป็นเสื้อคว้านลึก แต่เจ้าตัวก็ปกปิดความวาบหวิวด้วยการใส่เสื้อเซฟโทนสีเดียวกับชุดไว้ด้านใน กระโปรงด้านหน้าสั้นเหนือเข่า แต่ด้านหลังมีผ้ายาวปิดขาทั้งสองข้าง ปล่อยผมยาวแต่หวีแบบเก๋ ๆ ดูทะมัดทะแมง ใส่ตุ้มหูขนนกคู่ยาวสีดำ เสียดายถ้ารองเท้าเป็นสีเทาหรือดำคงจะแจ่มกว่านี้เยอะ”.
ก้อยโกะ

“ลีโอ พุฒ” ครอบครัวนัวเนีย พ่อ-แม่-ลูก ไม่เคยห่างกัน - คนดังหลังฉาก

 
 ถ้าเอ่ยชื่อ “พุฒิพงศ์ ศรีวัฒน์” หลายคนอาจจะทำหน้าแบบเออเร่อ เพราะชื่อไม่คุ้นหู แต่ถ้าบอกว่าเขาคือ “ลีโอ พุฒ” ทุกคนต้องร้องอ๋อ.. หลังจากที่สละโสดไปใช้ชีวิตคู่กับภรรยาคนสวย “จันทร์พิมพ์ ราชวังเมือง” จนมีลูกชายด้วยกันชื่อ “น้องคีต” ปัจจุบันอายุ 2 ขวบ 7 เดือน นักแสดงหนุ่ม “ลีโอ พุฒ” ดูเหมือนจะหายเงียบไปจากวงการบันเทิง จนมีแฟนคลับถามหาและอยากรู้ว่าตอนนี้นักแสดงในดวงใจของเขา กำลังทำอะไรอยู่ ไม่คิดถึงพวกเขาแล้วหรือ ล่าสุดเราก็เลยนัดหมายกับ “ลีโอ พุฒ” เพื่อขอสัมภาษณ์แบบส่วนตั๊ว...ส่วนตัว เจ้าตัวก็โอเคทันที

แค่เห็นภาพพ่อ-แม่-ลูก เดินจูงมือกันมาก็สื่อให้รู้ว่า เป็นครอบครัวที่อบอุ่นมาก ว่าแล้วก็คุยกับ “ลีโอ พุฒ” เลยดีกว่า เพราะเขามีงานอื่นรออยู่ ช่วงหลังทำไมดูเงียบไปจากวงการฯ ไปทำอะไรเหรอ? “จริง ๆ ไม่ได้หายไปไหน พุฒไปจัดรายการวิทยุ มันเป็นงานที่ทำทุกวันและต้องทำเป็นเวลา เหมือนกับทำให้เรารับงานอื่นไม่ได้ ตอนนี้หยุดรายการวิทยุแล้ว ก็จัดรายการวิทยุอยู่สัก 2 ปีหลังจากแต่งงานไปแล้ว แล้วก็รับงานพากย์เสียงอยู่ แต่ส่วนมากจะเป็นงานเบื้องหลัง คนจะได้ยินเสียงไม่ค่อยเห็นหน้า มันก็เลยเหมือนพุฒหายไป แต่ในระหว่างนั้นก็มีพิธีกรรายการทางไทยพีบีเอส และมีหนังสั้น เร็ว ๆ นี้ก็จะมีละครซิทคอม ทางช่อง 5 เป็นของบริษัทใหม่ จะเปิดกล้องเร็ว ๆ นี้”

ตอนนี้ชีวิตโดยทั่วไปเป็นยังไง “รู้สึกเหมือนเดิมเลยนะพี่ ไม่ได้รู้สึกแตกต่างจากตอนที่ทำงานอยู่ ทุกคนก็ยังจำพุฒได้ ไม่ได้แตกต่างอะไรเลยครับ เพื่อนฝูงในวงการก็ไม่ค่อยเจอ ตั้งแต่พุฒเลิกดื่มเลิกสูบ ซึ่งพอเราเลิกแล้ว ก็อาจจะมีส่วนทำให้เรามีน้องได้ เชื้อเราแข็งแรงขึ้น” เป็นคุณพ่อลูกหนึ่ง ชีวิตเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน “เหมือนผมก็โตไปพร้อม ๆ กับเค้าเหมือนกันนะครับ เค้าก็สอนผมเยอะ ในบทบาทของความเป็นพ่อซึ่งมันไม่มีใครสอนเราได้ นอกจากลูก ต้องลองเป็นพ่อแล้วค่อย ๆ เรียนรู้”

ยกตัวอย่างสัก 1-2 เรื่องได้มั้ย ที่เราได้จากลูก “ความรับผิดชอบ ความใจเย็น คือเด็กเค้าจะไม่ใจเย็นอยู่แล้ว ถ้าเกิดเราไปเกรี้ยวกราดหรือใจร้อนตอบ มันจะยิ่งไปปลูกฝังความก้าวร้าวให้กับเด็ก เราก็ต้องใจเย็น ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นผมเป็นคนใจร้อน ผมจะตอบโต้ผมจะดีดกลับ จะดีดความรู้สึกที่ไม่ดีกลับไป พอเรามีลูก เราก็ต้องรู้จักอดกลั้นแล้วก็ค่อย ๆ สอน แล้วก็พูดกับเค้าด้วยเหตุผล มันก็เหมือนกับเค้าสอนให้เราโตขึ้นไปอีกสเต็ปนึงเหมือนกัน จากแต่ก่อนที่เราเป็นเด็กเอาแต่ใจ เพราะเราก็มีชีวิตอยู่ตัวคนเดียว คุณพ่อเสียไปแล้วคุณแม่เค้าก็ปล่อยเราแล้ว เราโตแล้ว เพราะงั้นเราก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องไปแคร์อะไรมากมาย โอเคเราก็แค่ดูแลตัวเราเอง แล้วก็ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็เพียงพอ แต่ก่อนคิดอย่างนี้แต่เดี๋ยวนี้เหมือนกับว่าเรามีลูกแล้ว เราก็มีความรับผิดชอบมากขึ้น โตไปคีตก็ต้องเป็นส่วนหนึ่งของสังคมนี้ เราก็ต้องปลูกฝังเค้า และอบรมเค้าให้ดี”

น้องคีตสนิทกับพ่อหรือแม่มากกว่ากัน “เค้าจะสนิทกับทั้งคู่นะครับ แต่ถ้าผมอยู่บ้านจะติดผมมากกว่า เค้าจะมาหาเราเมื่อเค้าอยากจะเล่นอยากจะซุกซน แต่เวลาหิวหรือง่วงนอนก็จะมาหาแม่ ตามธรรมชาติเด็กเวลาหิวเวลาเสียใจหรือเวลาอยากได้คำตอบก็จะหาแม่” น้องคีตน่ารักมาก แถมมีแววนักแสดงซะด้วย คุณพ่อจะว่ายังไงมั้ย “เรื่องนั้นถ้ามันถึงเวลา ก็ปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของเค้าเอง ถ้าเค้าโตพอนะครับ แต่ถ้าเป็นตอนเด็ก ๆ เนี่ยก็ต้องดูสถานการณ์อีกทีนึง แต่ความจริงพุฒก็อยากจะให้เค้าเรียนหนังสือเหมือนเด็กทั่ว ๆ ไป อยากจะให้เค้าโตมากพอที่จะรู้ว่า คือเมื่อไหร่ที่เราเข้าวงการมาแล้ว มันไม่มีทางออกไปได้หรอกนะ มันไม่ใช่ ในด้านที่มันไม่สนุกก็มีนะลูกคืออยากให้เค้าเข้าใจซะก่อน แล้วเมื่อเค้าเข้าใจแล้ว เค้าจะเลือกที่จะเข้า เราก็คงไม่ไปห้ามปราม แต่ถ้าเกิดถามผมว่า อยากจะให้เค้าเป็นอะไร ผมอยากให้เค้าเป็นหมอเป็นอะไรอย่างเนี้ย คือมีอาชีพปกติ”

“ผมคิดว่าโดยเฉลี่ยแล้ว คนที่ทำอาชีพปกติธรรมดา ที่ไม่ใช่อาชีพในวงการบันเทิงทั่วไป มันหาความสุขความสงบได้ง่ายกว่า คือก็ต้องยอมรับว่า ไปไหนมันก็ตกเป็นเป้าสายตา คือเป็นกระโถนนะว่าง่าย ๆ ใครอารมณ์ไม่ดีก็มาลงที่เรา เพราะเหมือนกับว่าเค้ารู้จักเรามานาน”

ภรรยาเป็นคนสวยมาก ยังกับดาราแน่ะ...เวลาไปไหนต้องมีคนมองแน่นอน ถามจริง ๆ “พุฒ” หึงมั้ย “ผมไม่ขี้หึง เค้านั่นแหละขี้หึง แต่ผมไม่มีพฤติกรรมอะไรให้เค้าหึงนะ ดูจากการที่เค้าชอบถามว่าไปไหนไปทำอะไร ไปกับใคร คือจริง ๆ อาจจะไม่ได้หึงแบบถึงขนาด ก็คงเหมือนผู้หญิงทั่ว ๆ ไป มีแอบอยากรู้บ้าง” ได้ยินว่า มีงานถ่ายโฆษณาติดต่อมา “ใช่ครับ โฆษณานมไทย-เดนมาร์ค ที่รับเพราะดื่มนมยี่ห้อนี้มานานแล้ว เรียกว่าดื่มกันทั้งบ้าน ที่สำคัญไม่ผสมนมผง เป็นนมวัวแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ประกอบกับพุฒรู้จักกับผู้ใหญ่ในวงการคือ พี่จิ๋ม (ชลันธร แก้วแดง) เจ้าของรายการฉันรักเมืองไทย ทางช่อง 9 พอพี่จิ๋มติดต่อมาผมก็ตกลงทันที เพราะทุกอย่างลงตัว และผมว่าโฆษณาชิ้นนี้อาจจะเป็นแรงบันดาลใจ ให้คนในครอบครัวใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น เช่นเสาร์-อาทิตย์นี้ คุณพ่อคุณแม่อยากจะพาลูกไปเที่ยวชมธรรมชาติตามที่ต่าง ๆ”

อยู่ในวงการบันเทิงมานาน รู้สึกยังไงกับวงการนี้ “ยอมรับเลยว่ามีบางช่วงบางเวลา ที่รู้สึกเบื่อวงการบันเทิง พุฒทำงานตรงนี้มา 15 ปี รู้สึกได้ถึงคนไม่สม่ำเสมอ และมีบางคนที่ไม่จริงใจกัน พุฒก็รู้สึกว่าเป็นคนแตกแยก แตกแยกตรงที่ว่า เหมือนกับเมื่อไหร่ที่เข้าสังคม อุ๊ยเธอเป็นยังไง เดี๋ยวมาเมาท์กัน ซึ่งพุฒทำไม่เก่ง พุฒทำไม่ได้ พุฒก็จะรู้สึกเหมือนแตกแยก และเหมือนเป็นคนแปลกหน้าของที่นี่ แต่คนที่ไม่ได้เป็นแบบนั้นก็มี พุฒก็เลยมาลองคิดดูอีกที ไหน ๆ ก็เป็นงานที่เราไม่ใช่เขียนใบลาออก แล้วก็ออกได้จบ ถึงผมจะไม่รับงานคนก็ยังจำผมได้ ผมไม่ได้ความเป็นส่วนตัวกลับคืนมาแน่ ผมไม่สามารถย้อนเวลากลับไปในวันที่คนเค้าไม่รู้จักผม เพราะฉะนั้นถ้าจะอยู่ก็อยู่กับมันให้ดีครับ แล้วก็เลือกใช้จุดแข็งของเรา ความที่มีคนรู้จักเราเนี่ย สร้างประโยชน์และทำความดีดีกว่า ดีกว่าที่จะอยู่แล้วก็ไม่มีความสุขและไม่ได้ทำประโยชน์ด้วย แล้วก็ไม่ได้ประกอบอาชีพอะไรที่จะมาเลี้ยงครอบครัว ไหน ๆ ก็เป็นพรที่เราได้รับมาแล้ว ก็ใช้ให้มันถูกทาง ไม่มีประโยชน์ที่จะไปมองว่ามันเป็นสิ่งที่เรารับไม่ได้ หรือเราเบื่อ อย่างนั้นมันทำร้ายตัวเองไป”

จากนี้ไป “พุฒ” วางแผนให้กับครอบครัวยังไงบ้าง “พุฒคิดเอาไว้ตั้งแต่คีตเกิดมาวันแรก ไม่บังคับให้เค้าเรียนพิเศษ ถ้าสิ่งนั้นไม่ได้เกิดจากความต้องการของเค้าเอง ทำการบ้านเสร็จบ้างไม่เสร็จบ้างก็เอาเถอะ ขอให้มันผ่านก็พอ ไม่ต้องไปเคี่ยวเข็ญให้น้องเครียด จะไม่บังคับให้เค้าโตนะครับ แล้วก็ส่งเสริมให้เค้าเล่นดนตรีหรือศิลปะเพราะผมเชื่อว่าแม้ว่าสองสิ่งนี้ อาจจะไม่ใช่สิ่งที่จะมาเป็นอาชีพในการทำมาหากินของเค้าในอนาคต หรืออาจจะเป็นก็แล้วแต่ แต่อย่างน้อยก็ทำให้มีจิตใจอ่อนโยน ไม่เกเรไม่โตเป็นผู้ใหญ่ที่เลวแน่” ถ้าเปรียบครอบครัวของ “ลีโอ พุฒ” จะเปรียบเป็นอะไร “เป็นครอบครัวนัวเนียครับ เพราะผมเป็นคนที่ไม่ได้ทำงานประจำ พอที่จะมีรายได้ที่จะพอดูแลครอบครัวไปได้ เพราะฉะนั้นผมก็จะมีเวลาให้กับลูกและภรรยาเยอะ เราจะอยู่ด้วยกันทั้งวัน หอมกอดกันนัวเนีย ไปไหนไปด้วยกันตลอดครับ” เชื่อแล้วจ้า!  โอเคนะคะ.
“ปรางค์ ปิ๊กมี่”

“เชน” นำทีม “โฟร์-มด-บลูเบอร์รี่” เที่ยว ช้อป ชิม ที่สิงค์โปร์ - ฟรีไทม์


 
 
 
 
 
 
 

 
โด่งดังกันจนเป็นที่นิยม 6 ศิลปินจากอาร์เอส อย่าง โฟร์-มด เชน-ธนา และ 3 สาววงบลูเบอร์รี่ เลยได้กลายเป็น “6 ซุป’ ตา อาร์เอส” ที่ได้เหินฟ้าไปสิงค์โปร์กับ “ดีแทคและแฮปปี้” พร้อมกับ 20 ผู้โชคดีที่ได้รางวัลจากการดาวน์โหลดเพลงสุดฮิตของอาร์เอสและอาร์สยาม ไปเที่ยวฟรีกินฟรีตลอดงาน ทริป 3 วัน 2 คืนเลยเป็นอะไรที่สนุกสนานมาก ๆ

ในครั้งนี้ โดย 2 สาว โฟร์-ศกลรัตน์ วรอุไร และ มด-ณปภัช วัฒนากมลกุล เหน็บเอาแม่และพี่สาวไปร่วมชิลด้วย ส่วนหนุ่ม เชน-ธนา ลิมปยารยะ ที่ตอนนี้เพิ่งอกหักไปหมาด ๆ เลยขอฉายเดี่ยวทำหน้าที่เอนเตอร์เทนผู้ร่วมทริปแบบลืมเรื่องเศร้า ส่วน 3 สาววงบลูเบอร์รี่ นั้น ตอนอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิก็มีครบ 3 คน แต่พอไปถึงสิงคโปร์ดันเหลือแค่ สาวโบว์-โบว์ชมพู ศรีทองท้วม และ หนูเล็ก-เบญจวรรณ โภคทรัพย์ ส่วน สาวออม-เพลินศิลป์ เกตุแก้ว นั้นปวดท้องไปไม่ไหว เลยต้องขอตัวกลับบ้านก่อน ซึ่งพอขาดไปหนึ่ง ผู้ร่วมทริปแต่ละคน เลยขันอาสาจะมาเป็นสมาชิกใหม่ของวงกันทันที

พอถึงแดนลอดช่องปุ๊บ ชาวคณะก็ทำการซิตี้ทัวร์กันแบบเบา ๆก่อนชมของขวัญชิ้นสำคัญที่รัชกาลที่ 5 มอบให้กับอังกฤษสมัยปกครองสิงคโปร์ด้วยนั่นก็คือ รูปปั้นช้างไทย ที่เด่นสง่าสวยงาม เหล่าซุป’ตาร์อาร์เอสก็เลยขอแชะภาพกันเป็นที่ระลึกซะหน่อย ก่อนเดินต่อไปชม “เมอร์ไลอ้อน” ริมอ่าวมาริน่าเบย์ สัญลักษณ์ของสิงคโปร์ อีกที่ที่พลาดไม่ได้คือ “น้ำพุแห่งความมั่งคั่ง” ที่ย่านซันเทค ซึ่งเชื่อกันว่าใครที่ได้ไปเดินรอบน้ำพุและได้สัมผัสน้ำพุจะมีแต่ความโชคดี

เริ่มวันที่สองในสิงคโปร์แบบชิลชิลก่อนจะไปสนุกกันที่สวนสนุก “ยูนิเวอร์แซล” โฟร์กับมดขอชมโชว์เบา ๆ งดการเล่นหวาดเสียว ส่วนหนูเล็กกับเชนนั้นใจสู้ขอเล่นเครื่องเล่นแบบสู้ตาย ส่วนสาวโบว์เน้นเล่นเครื่องเล่นเบา ๆ และถ่ายรูปแบบขำ ๆ เพราะเป็นโรคกลัวความสูง ไม่ค่อยกล้าเท่าไหร่ ปิดท้ายวันที่สามก่อนกลับ พลาดไม่ได้กับการชอปปิงบนถนนออร์ชาร์ด สาว ๆ บลูเบอร์รี่และโฟร์-มด สนุกสนานกับการซื้อของมาก แต่หนุ่มเชนกลับขอเดินชิลชมคนดีกว่า เพราะมาบ่อยแล้ว เลยไม่รู้จะซื้ออะไร พอจบทริปทุกคนก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า “สนุกสนานมาก ๆผู้ร่วมทริปทุกคนก็น่ารัก” แหม...อย่างนี้น่าจะไปบ่อย ๆ เนอะ คริคริ.
จ๊ะโอ๋

แหล่งที่มาของข้อมูล www.dailynews.co.th