วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2555

อนุ ป.ป.ช. เลื่อนฟันธง “ทรู-กสท”


วันนี้ (23 เม.ย.) นายเมธี ครองแก้ว กรรมการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ในฐานะประธานอนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีสัญญา 3 จี  กล่าวว่า คณะอนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีสัญญา 3 จี ระหว่าง บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) กับ กลุ่มบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เห็นว่าจากข้อมูลที่คณะอนุกรรมการไต่สวนมาพบว่ามีความผิดปกติจริง จึงจะดำเนินการพิจารณาข้อมูลต่อไป เนื่องจากข้ออธิบายที่มียังไม่มีน้ำหนักหรือหนาแน่นเพียงพอจะชี้ความผิดพลาดว่าอยู่ในระดับไหน ต้องให้เวลาคณะอนุกรรมการพิจาณาอีกรอบในการประชุมวันที่ 8 พ.ค.นี้ ซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่าจะได้ข้อสรุปหรือไม่ แต่คาดว่าจะสามารถส่งเรื่องนี้ให้บอร์ด ป.ป.ช.พิจารณาได้ภายในเดือนมิ.ย.นี้

นายเมธี กล่าวว่า ข้อมูลที่ไต่สวนมาถือว่าครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว แต่ยังต้องให้เวลาคณะอนุกรรมการพิจารณารายละเอียดให้รอบคอบ ซึ่งในการประชุมครั้งหน้าจะมาดูเรื่องความถูกต้องและความร้ายแรงของความผิด ว่าผิดในกฎหมายระดับไหน  โดยเฉพาะในประเด็นการใช้อำนาจตามมาตรา 46 พ.ร.บ.กสทช. ,  พ.ร.บ.ร่วมการงานระหว่างรัฐกับเอกชนพ.ศ.2535 ,การไม่มีการประมูล และการกระทำที่อาจจะผิดกฎหมายผูกขาด
นายเมธี กล่าวว่า ส่วนเอกสารผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงการทำสัญญาธุรกิจโทรศัพท์มือถือรูปแบบใหม่ หรือ 3จี ระหว่าง กสท กับ กลุ่มบริษัท ทรู โดยมีพ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งกระทรวงไอซีทีแถลงว่าพบพิรุธในสัญญา 5ประเด็น เป็นเพียงเอกสารที่คณะอนุกรรมการป.ป.ช.ในในการประกอบการพิจารณา ซึ่งไม่จำเป็นที่คณะอนุกรรมการป.ป.ช.ต้องเห็นด้วย เนื่องจากคณะอนุกรรมการป.ป.ช.ก็มีข้อมูลของตนเอง และการตรวจสอบของคณะอนุกรรมการป.ป.ช.ไม่มีผลทางก.ม. ต้องส่งเรื่องให้บอร์ด ป.ป.ช. ใหญ่พิจารณา

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

หลักสูตรเถ่าแก่ ดาวเทียม มือถือ กล้องวงจรปิด





โรงเรียนแสงทองโทรทัศน์ เป็นสถาบันสอนวิชาชีพช่างโทรทัศน์และอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่ปี 2520 ปัจจุบัน เป็นโรงเรียนแสงทองเทคโนโลยี เพิ่มหลักสูตรสาขาการช่างอีกมากมาย สนองความต้องการตลาดแรงงาน และคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเป็นเจ้าของกิจการที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ทางด้านไอที

“โรงเรียนได้รับการคัดเลือก เป็นสถาบันร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม จัดอบรมโครงการเสริมสร้างผู้ประกอบการใหม่ ต่อเนื่องเป็นปีที่สาม สาขาช่างซ่อมคอมพิวเตอร์ มือถือ และช่างติดตั้งจานดาวเทียม กล้องวงจรปิด ซึ่งเปิดรับช่วงนี้ถึงวันที่ 25 เมษายนนี้” ธนาชัย อึ้งสมรรถโกษา กรรมการผู้จัดการแจ้งข่าวล่าสุดให้ทราบ

โครงการเสริมสร้างผู้ประกอบการใหม่ เป็นกลยุทธ์ในการพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาวด้วยการสร้างผู้ประกอบการใหม่ และพัฒนาผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) เดิมที่มีศักยภาพให้อยู่รอด เพื่อให้รายใหม่และรายเดิมเจริญก้าวหน้า โดยจัดการอบรมกับนักศึกษาจบใหม่ ผู้ประกอบการที่เริ่มต้นธุรกิจในระยะ
1 -3 ปี ทายาทเจ้าของกิจการ รวมถึงผู้ประกอบอาชีพอื่น เช่น ข้าราชการ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรือผู้รับจ้างอิสระที่ตั้งใจเปลี่ยนเป็นผู้ประกอบการ

กำหนดคุณ สมบัติไว้กว้างขวาง คือ จบการศึกษา ปวช. ขึ้นไป หรือเทียบเท่า และอายุไม่เกิน 60 ปี มากน้อยกว่านี้ มาคุยกัน

การอบรมในโครงการเสริมสร้างผู้ประกอบการใหม่ เป็นการให้ความรู้ในการเป็นผู้ประกอบการ ที่จะได้เรียนรู้ถึงระบบธุรกิจ การจัดการ การบัญชี ภาษี ระบบการตลาด การคำนวณต้นทุน การตั้งราคาขาย การคิดกำไร รวมไปถึงการเขียนแผนธุรกิจ เสนอขอรับการสนับสนุนจากสถาบันการเงิน หรือเท่ากับสอนคนที่มีพื้นฐานหลากหลายมาพัฒนาให้ค้าขายทำธุรกิจเป็น และเมื่อโรงเรียนแสงทองเทคโนโลยีเข้ามาจัดการอบรม ก็เอาจุดแข็งคือวิชาช่าง ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดในปัจจุบัน ทั้งการติดตั้งจานดาวเทียม การซ่อมโทรศัพท์มือถือ งานซ่อมคอมพิวเตอร์  การติดตั้งกล้องวงจรปิด มาผนวก

ทั้งหมดนี้ใช้เวลาเรียนทั้งวิชาบริหารจัดการ และด้านเทคนิค เฉพาะวันเสาร์ และอาทิตย์ รวม 19 ครั้ง

ธนาชัยบอกด้วยว่า คนที่มาเรียนเป็นช่างกับโรงเรียน จะได้รับเคล็ดวิชาการทำกิจการอยู่แล้ว แต่หลักสูตรเสริมสร้างผู้ประกอบการใหม่ จะได้เรียนรู้การประกอบการและการเสนอแผนธุรกิจกับแหล่งทุนอีกด้วย  หากสนใจเข้าอบรม สอบถามเพิ่มเติมทางโทรศัพท์ที่โรงเรียน             0-2304-2099       ต่อ 1207, 2102 ภายในวันที่ 25 เม.ย.

“อาชีพช่าง สร้างโอกาสทุกยุคทุกสมัย ไม่มีจน แต่ที่มีปัญหาส่วนใหญ่เพราะการจัดการไม่ดี เช่น ไม่แยกกระเป๋า ไม่ทำบัญชี เอารายได้จากร้านมาใช้ส่วนตัว” ธนาชัยกล่าว

ธนาชัยบอกด้วยว่า หลักสูตรระยะสั้น ด้านช่างที่โรงเรียนเปิดสอนมาแล้ว 35 ปี ผู้เรียนจบกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ เปิดร้าน
ทำกิจการได้ตามที่ตั้งใจ ที่เหลือก็มีงานทำและมุ่งมั่นสู่การมีกิจการของตัวเอง

เรียนแล้วรวย!!.

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

กสทช.จูงมือ อย.พบไอซีทีคุมโฆษณาในดาวเทียม


กสทช.-อย. เข้าพบปลัดไอซีที ขอความร่วมมือแก้ปัญหาเรื่องการโฆษณาอาหารและยาที่ผิด ก.ม.

น.ส.สุภิญญา  กลางณรงค์ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. กล่าวว่า เมื่อวันที่ 19 เม.ย. ที่ผ่านมา กสทช. และตัวแทน สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ได้เข้าพบ นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เพื่อหารือร่วมกัน ในการกำกับดูแลการโฆษณาและเผยแพร่ออกอากาศของผลิตภัณฑ์ที่อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนอย่างร้ายแรงผ่านทางดาวเทียมไทยคม  ของบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) โดยเบื้องต้นมีการเจรจาเกี่ยวกับข้อกฎหมาย เนื่องจากในอดีตการกำกับดูแลดาวเทียมไทยคมเป็นเรื่องของกระทรวงไอซีทีโดยตรง ทว่าหลังมี กสทช. หน้าที่ดูแลในส่วนนี้อยู่ในความรับผิดชอบของ กสทช. ตามกฎหมาย ซึ่ง คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม หรือ บอร์ดกทค.ก็ต้องออกใบอนุญาตให้ไทยคม หรือ บริษัทที่ประกอบกิจการเกี่ยวกับดาวเทียม และคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ หรือบอร์ด กสท. ต้องออกใบอนุญาตให้ช่องรายการ แต่ทั้งนี้ กระบวนการออกใบอนุญาตยังไม่เสร็จ  อีกทั้งอยู่ในช่วงรอยต่อของการดำเนินงานจึงเข้าพบเพื่อขอความร่วมมือกับกระทรวงไอซีที

น.ส.สุภิญญา กล่าวว่า การเข้าพบปลัดไอซีทีเพื่อเจรจาในการดำเนินงานร่วมกัน เนื่องจากมองว่าบริษัท ไทยคมมีความเกรงใจกระทรวงไอซีทีอยู่แล้วเพราะเคยมีหน้าที่ดูแลการดำเนินงานของไทยคม  ซึ่งในอนาคตตามข้อกฎหมาย และมาตรการการปกครอง การดูแลการทำงานของไทยคมจะอยู่ในความรับผิดชอบของ กสทช.  ซึ่งระหว่างนี้อยู่ในช่วงรอยต่อการดำเนินงาน ซึ่ง กสทช. ยังไม่ได้ออกใบอนุญาต ดังนั้นระหว่างนี้หากเกิดกรณีใด ๆ ที่เกี่ยวกับไทยคม กสทช.จะเป็นต้นเรื่องส่งจดหมายไปที่ไอซีที ให้ไอซีทีเตือน  หรือขอความร่วมมือกับไทยคม ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องผ่านมติบอร์ด กสทช.

น.ส.สุภิญญา กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องที่ อย. แสดงความต้องการมากที่สุด คือ  ฐานข้อมูลช่องรายการ  เพราะถ้ารู้ว่าผังข้อมูลที่ออกโฆษณาผิดกฎหมายอยู่ตรงไหน จะได้ดำเนินการแจ้งเตือน ปรับ หรือ จับได้ทันที แต่ขณะนี้ เวลาเกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น อย. ไม่รู้จะส่งเรื่องไปที่ไหน จึงต้องส่งไปที่ไทยคมที่เดียว ซึ่งขั้นตอนการดำเนินงานอาจไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับไทยคม เบื้องต้นกระทรวงไอซีทียินดีให้ความร่วมมือ เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นปัญหาสำคัญ และไอซีทีจะเป็นเจ้าภาพเชิญ บริษัท ไทยคม มาหารือ กับ กสทช. และ อย. ในอนาคต ซึ่งล่าสุดยังไม่สามารถกำหนดกรอบระยะเวลาที่ชัดเจนได้ ขณะที่ กสทช. เตรียมจะเข้าไปเจรจากับไทยคมในวันที่ 30 เม.ย.นี้

นอกจากนี้ในอนาคตเตรียมพิจารณาถึงเนื้อหาอื่น ๆ เช่น ลามกอนาจาร และการเมืองด้วย อย่างไรก็ตามระหว่างที่ยังไม่มีหลักเกณฑ์การกำกับดูแล การโฆษณาและเผยแพร่ผลิตภัณฑ์และสินค้าต่าง ๆ ในทีวีดาวเทียม เคเบิลทีวี และวิทยุชุมชนควรยึดหลักเกณฑ์และเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หากทาง อย. และ สคบ. ชี้แล้ว
ว่าผลิตภัณฑ์โฆษณาเกินจริงผิดกฎหมายสถานีต่าง ๆ ไม่สามารถนำออกอากาศได้เพราะเข้าข่ายขัดต่อ พ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 มาตรา 37.

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

กูเกิลพัฒนาแอพฯให้ม.ขอนแก่น เตรียมใช้งานอีเมลถึงชั้นอนุบาล


กูเกิลและ มข. ร่วมกันพัฒนาแอพพลิเคชั่นเพื่อการศึกษา ให้นักศึกษาเก่าและใหม่ รวมถึงบุคลากรใช้งานอีเมลของมหาวิทยาลัยได้ตลอดชีวิต พื้นที่ฟรีถึง 25 กิกะไบต์ ในอนาคตจะขยายใช้งานอีเมลถึงชั้นอนุบาล

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เด่นพงษ์ สุดภักดี รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการและเทคโนโลยีสารสนเทศ  มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยว่า   กูเกิลและมหาวิทยาลัยขอนแก่นได้ร่วมกันพัฒนาระบบกูเกิล แอพ ฟอร์ เอ็ดดูเคชั่น (Google Apps for Education)  เดิมนั้นมหาวิทยาลัยขอนแก่นใช้ระบบอีเมล   โดเมน kku.ac.th แต่ไม่สามารถเชื่อมต่อกับระบบอื่นของมหาวิทยาลัย รวมถึงไม่สามารถติดต่อกับนักศึกษาผ่านช่องทางอีเมล kku.ac.th จึงต้องการพัฒนาระบบเพื่อตอบสนองความต้องการให้กับนักศึกษาใหม่ ศิษย์ปัจจุบัน และบุคลากร ซึ่งกูเกิลได้ให้ความช่วยเหลือโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

จุดเด่นของกูเกิล แอพ ฟอร์ เอ็ดดูเคชั่น คือ ให้พื้นที่เก็บข้อมูลฟรี 25  กิกะไบต์โดยไม่มีโฆษณา สามารถใช้ได้ตลอดชีวิตถึงแม้จะจบการศึกษาไปแล้วก็ตาม โดย
นักศึกษาจะชื่ออีเมลเป็น user@kkumail.com ส่วนบุคลากรจะใช้ชื่ออีเมลเดิม คือ user@kku.ac.th

นอกจากนี้ระบบยังได้เชื่อมโยงกับระบบสารสนเทศของมหาวิทยาลัย เช่น สร้างปฏิทิน แจ้งเตือน ตารางเรียน เมื่อนักศึกษาลงทะเบียนเรียนกับทางมหาวิทยาลัย ตารางเรียนก็จะเข้าไปอยู่ในอีเมลของนักศึกษาทันที  ฯลฯ

นายแซมมวล แชง จากกูเกิล ระบุว่า แอพพลิเคชั่นดังกล่าว ทำขึ้นเพื่อให้นักเรียนนักศึกษาสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เข้าถึงข้อมูลออนไลน์ได้ตลอดเวลา กูเกิลจะใช้งานกับมหาวิทยาลัยก่อนจากนั้นจะขยายลงไปถึงระดับอนุบาล  ปัจจุบันมีผู้ใช้งานแอพฯนี้มากกว่า 17 ล้านคนทั่วโลกในหลากหลายประเทศ.

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

เอไอเอสแก้ปัญหาลูกค้าโวยโรมมิ่ง แจ้งเตือนแพ็กเกจใช้งานต่างประเทศ


นายปรัธนา ลีลพนัง ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ส่วนงานบริการเสริม บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า ยอดการใช้งานบริการโทรทางไกลระหว่างประเทศหรือบริการโรมมิ่ง ในปัจจุบันมีปริมาณการใช้งานโรมมิ่งในพื้นที่ประเทศไทยสูงกว่าการใช้งานโรมมิ่งในพื้นที่ต่างประเทศ เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยเฉลี่ย 2-3 แสนคนต่อเดือนแล้วเปิดใช้งานโรมมิ่งในประเทศไทย ขณะที่ปริมาณคนไทยเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศโดยนำโทรศัพท์มือถือเปิดบริการโรมมิ่งไปต่างประเทศด้วยมีปริมาณ 2-3 หมื่นคนต่อเดือน จึงส่งผลให้มีปริมาณการใช้งานโรมมิ่งในพื้นที่ประเทศไทยมากกว่าการใช้โรมมิ่งในพื้นที่ของต่างประเทศ

นายปรัธนา กล่าวว่า รายได้ของบริการโรมมิ่งของเอไอเอสประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่งเอไอเอสมีส่วนแบ่งรายได้มากกว่า 50% และพบว่าปัจจุบันมีการใช้งานด้านรับส่งข้อมูล (ดาต้า) มากขึ้น ส่งผลให้การคิดอัตราค่าบริการด้านเสียง (วอยซ์) มีแนวโน้มถูกลง และเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมาเอไอเอสได้เปิดบริการใหม่ “เอไอเอส วอร์รี่ ฟรี ดาต้า โรมมิ่ง” ( Ais worry free data roaming) บริการแจ้งเตือนสำหรับลูกค้าที่ใช้บริการโรมมิ่ง ซึ่งถือว่าเป็นบริการแรกที่ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่เปิดให้บริการ โดยเบื้องต้นให้บริการเฉพาะผู้ใช้เอไอเอสระบบรายเดือน (โพสต์เพด)

สำหรับ เอไอเอส วอร์รี่ ฟรี ดาต้า โรมมิ่ง ประกอบด้วย 3 ฟีเจอร์หลัก ได้แก่
1. แจ้งเตือนด้วยเอสเอ็มเอสเพื่อให้ลูกค้าทราบทันทีเมื่อแพ็กเกจดาต้าโรมมิ่งที่สมัครไว้เหลือ 1 เมกะไบต์ 2. หากลูกค้าสมัครแพ็กเกจใช้งานไม่จำกัด เอไอเอสจะทำการบล็อกการใช้งานดาต้าโรมมิ่งที่มีการจับสัญญาณไม่ตรงกับเงื่อนไข และ 3. ตรวจสอบปริมาณการใช้ดาต้าโรมมิ่งที่เหลือในแพ็กเกจ

ส่วนปัญหาที่ผู้บริโภคยังฟ้องร้องเกี่ยวกับบริการโรมมิ่ง นายปรัธนา ระบุว่า ผู้บริโภคยังมีความเข้าใจเรื่องของปริมาณข้อมูลที่รับส่งน้อย อาทิ ไม่รู้ว่ารูปหรือข้อความที่ส่งมีปริมาณเท่าไหร่ กี่เมกะไบต์  ซึ่งบริการ “เอไอเอส วอร์รี่ ฟรี ดาต้า โรมมิ่ง” จะช่วยแก้ปัญหาได้ในอนาคต เพราะแจ้งเตือนปริมาณแพ็กเกจที่ยังเหลืออยู่ให้ลูกค้าทราบก่อนที่จะหมด สำหรับการใช้งาน 3จี ช่วงเดือน มี.ค.นี้ คาดว่าจะมีผู้ใช้ 3จี เอไอเอส ประมาณ 1.9 ล้านคน ซึ่งโครงข่าย3จี ของเอไอเอส ปัจจุบันมี 1,800 สถานีฐาน คาดอีก 3-4 เดือนข้างหน้าจะมีสถานีฐานเพิ่มขึ้นเป็น 3,000 สถานีฐาน  หาก กสทช. เปิดประมูลใบอนุญาต 3จี เอไอเอสก็จะเข้าร่วมประมูลใบอนุญาตด้วย.

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

ชี้จุดอ่อน "คลิปหวิว" หลุดเข้าสภา รหัสทีวีผ่านง่ายดาย


วันนี้ (23 เม.ย.) นายณัฐ พยงค์ศรี นักวิชาการคอมพิวเตอร์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) กล่าวถึง เหตุการณ์ภาพโป๊หลุดฉายบนจอโปรแจ็กเตอร์กลางที่ประชุมสภาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่า จากการที่ตนได้เป็นหนึ่งในตัวแทนของกระทรวงไอซีทีเข้าร่วมตรวจสอบระบบควบคุมการเผยแพร่ข้อมูลบนจอโปรแจ็กเตอร์ในสภา พบว่าเบื้องต้นไม่น่าเกิดขึ้นจากห้องควบคุมระบบ (ห้องคอนโทรล)  ซึ่งมองว่าน่าจะเกิดจากระบบการเชื่อมต่อผ่านยูเอสบี หรือด็องเกิล สำหรับรับไว-ไฟ ซึ่งติดตั้งอยู่ด้านหลังจอโทรทัศน์ ซึ่งเป็นช่องยูเอสบีที่ใช้สำหรับเป็นระบบสำรองเมื่อระบบการรับสัญญาณมีปัญหา และใช้เป็นช่องทางสำหรับให้ผู้เข้าประชุมสภาใช้เชื่อมต่อข้อมูลเพื่อนำเสนอข้อมูลที่เตรียมมาผ่านหน้าจอโปรแจ็กเตอร์

“มองว่าจุดบอดของเหตุการณ์นี้ส่วนหนึ่งคือระบบการตั้งค่าการเข้าใช้งานในโทรทัศน์ซึ่งยังใช้เป็นค่าเดิมที่ตั้งมาจากโรงงาน และยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงรหัส ทำให้การเชื่อมต่อโทรทัศน์สามารถเชื่อมต่อได้เหมือนกันหมด ถือเป็นจุดบอด มองว่าควรตั้งพาสเวิร์ดหรือรหัสผ่านใหม่ให้ยากต่อการเข้าถึง”

นายณัฐ กล่าวต่อว่า การตรวจสอบด็องเกิล ทาง กสท ต้องนำตัวด็องเกิลไปตรวจสอบว่ามีการเชื่อมต่อช่วงเวลาใดบ้าง ซึ่งเรื่องนี้บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ตรวจสอบ และตอนนี้กำลังตรวจสอบอยู่คาดว่าช่วงเย็นๆ น่าจะเปิดเผยได้.

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

สรรพากรสั่งเจ้าหน้าที่ตรวจเข้มนิติบุคคลฉวยโอกาสสวมรอย


วันนี้ (23 เม.ย.) นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ได้กำชับให้สรรรพากรพื้นที่ เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบการยื่นเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล งวดที่จะถึงเดือนพ.ค.นี้  เนื่องจากเกรงว่าจะมีผู้ประกอบการบางส่วนที่ฉวยโอกาสจากวิกฤตน้ำท่วมมาใช้ประโยชน์ในการยื่นภาษีให้ต่ำกว่าความเป็นจริง หรือแจ้งขาดทุนทั้ง ๆ ที่ขณะนี้มองว่าหลายธุรกิจฟื้นตัวได้เร็ว และบางธุรกิจได้ประโยชน์ในช่วงน้ำท่วมด้วยซ้ำ หรือพยายามหาช่างทางลดหย่อนภาษีตามประเภทต่าง ๆ ที่รัฐบาลลดภาระให้ ไม่ว่าค่าเสื่อมราคา รายได้จากการชดเชยค่าสินไหม  การบริจาค  จึงมอบนโยบายให้ดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ผู้เดือดร้อนได้รับประโยชน์จริง และไม่ให้ผู้ประกอบการฉวยโอกาส
ทั้งนี้ จากจำนวนบริษัทที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล 400,000 รายนั้น มีผู้ประกอบการรายใหญ่ 4,000 ราย ครอบคลุมวงเงินภาษี 50% โดยในปีงบประมาณ 55 นี้ กรมสรรพากรได้ตั้งเป้าหมายจัดเก็บภาษีนิติบุคคลไว้ 599,800 ล้านบาท คาดว่าจะเก็บได้ตามเป้าหมาย แม้จะมีผู้ประกอการได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม และได้รับสิทธิลดหย่อนทางภาษีจำนวนมากก็ตาม
ปีนี้กรมสรรพากรมีนโยบายให้นิติบุคคลหันมายื่นภาษีผ่านอินเทอร์เน็ต เหมือนบุคคลธรรมดาด้วย จึงมีมาตรการจูงใจให้ยื่นได้ล่าชากว่าปกติ 8 วัน และหากชำระภาษีผ่านบัตรเครดิต จะมีเวลาที่ไม่ต้องจ่ายเงินจริงถึง 59 วัน โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนนิติบุคคลที่ยื่นภาษีทางอินเทอร์เน็ตจาก 1-2% เป็น 70-80% ภายใน 2 ปีนี้ เพื่อลดประมาณงาน และเพิ่มความสะดวกรวดเร็ว ซึ่งปีนี้นิติบุคคลยังต้องเสียภาษี 30% สำหรับภาษีเงินได้ของบุคคลธรรมดานั้นพบว่า ได้ชำระภาษีผ่านบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเดือน ม.ค. 500 ราย มาก.พ.เพิ่มเป็น 2,600 ราย และมี.ค.เพิ่มเป็นกว่า 20,000 ทำให้คาดว่าเดือนเม.ย.นี้น่าจะเพิ่มอีกมากเช่นกัน
“ขณะนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เดินเข้าไปหาผู้ประกอบการ เพื่อชี้แจงถึงผลดีในการยื่นภาษีทางอินเตอร์เน็ต เพราะบางพื้นที่มีไม่กี่รายจาก ก่อนหน้านี้ที่จะยื่นทางเอกสาร เพราะต้องการจ่ายเป็นเช็ค จะได้มีเวลาเคลียริ่งเช็ค 3-4 วัน ดังนั้นจึงให้ขยายเวลาการยื่นได้ถึง 8 วัน และหากชำระผ่านบัตรเครดิต ก็ยิ่งมีระยะปลอดการเรียกเก็บอีก 51 วัน จึงน่าจะจูงใจให้ผู้ประกอบการหันมาทำธุรกรรมทางอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ซึ่งการยืดเวลาอีก 8 วันนี้มีผลกับทุกภาษีที่ยื่นผ่านอินเทอร์เน็ตโดยจะทดลองใช้ 2 ปี”
อย่างไรก็ตามกรมฯ ได้ประเมินผลการจัดเก็บภาษีช่วง 6  เดือนแรกของปีงบประมาณ 55 พบว่า ยังจัดเก็บได้สูงกว่าเป้าหมาย 10.06% ถือว่าสอบผ่านตามนโยบายการเข้าสู่งบสมดุลระยะ 5 ปีของกระทรวงการคลัง และครึ่งปีหลังนี้ น่าจะมีรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมถึงอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ฟื้นตัว จึงมองว่าทั้งปีน่าจะเก็บภาษีสูงกว่าเป้าหมายได้ 19.3%
ส่วนแนวทางการปรับโครงสร้างภาษีนั้น เดือนเม.ย.นี้จะเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณากรณีการแยกยื่นภาษีระหว่างสามีและภรรยาเพื่อให้นำเข้าครม.ต่อไป เพื่อให้การชำระภาษีมีความถูกต้อง แม้ว่ากรมจะสูญเสียรายได้ 2,000-3,000 ล้านบาทก็ตาม ส่วนการปรับอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น ขึ้นอยู่กันโยบายรัฐบาลแต่กรมฯได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว พร้อมกันนี้จะยกเลิกการจัดเก็บภาษีคณะบุคคล เพื่อแก้ปัญหาการเลี่ยงภาษีของผู้มีรายได้หลายทาง หรือผู้มีรายได้สูงด้วย
นายสาธิต กล่าวว่า กรมฯ ได้เตรียมปรับโครงสร้างภาษี เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) อาทิ ภาษีการควบรวมกิจการ ภาษีเงินปันผล ภาษีส่วนต่างกำไรซื้อขายหุ้น และภาษีระหว่างประเทศ เพื่อสนับสนุนให้คนไทยออกไปลงทุน ใช้วัตถุดิบจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างคุ้มค่า เพราะตลาดจะเพิ่มจาก 60 ล้านคนเป็น 600 ล้านคน รวมทั้งขยายฐานภาษีไปยังธุรกิจใหม่ๆ โดยเฉพาะอี-คอมเมิร์ซ์ ที่ ต้องการให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ทำธุรกิจค้าขายผ่านระบบอินเทอร์เน็ตเข้าสู่ระบบการเสียภาษีมากขึ้น เพราะปัจจุบันเริ่มเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ เมื่อเข้าสู่ระบบแล้ว รัฐบาลต้องการส่งเสริมกลุ่มดังกล่าวไปทำตลาดในประเทศอาเซียน รองรับเออีซีด้วย
ขณะเดียวกัน กรมสรรพากรได้ทำหนังสือถึงกระทรวงการคลัง เพื่อพิจารณายกเว้นจัดเก็บภาษีกับผู้ถูกรางวัลเลขท้าย 3  ตัว 2 ตัว(หวยบนดิน) และผู้จำหน่ายหวยบนดิน ที่มีรายได้จากการขาย เนื่องจากเวลาดังกล่าวนั้นทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต่างเข้าใจตรงกันว่าได้รับการยกเว้นภาษี ซึ่งถือว่ามีความบริสุทธิ์ใจไม่ได้หลีกเลี่ยงการเสียภาษีแต่อย่างใด.

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

กยอ.สั่งสศช.-คลังเร่งสรุปแหล่งเงินทุนลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ


วันนี้(23เม.ย.)นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมกยอ.ได้สั่งการให้สศช.และกระทรวงการคลัง กลับไปจัดทำแหล่งเงินทุนให้ชัดเจนสำหรับแผนการลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศทั้ง 95 โครงการวงเงิน 2.27 ล้านล้านบาท รวมทั้งเร่งรัดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเสนอรายละเอียดของแต่ละโครงการให้ที่ประชุมครม.พิจารณาโดยเร็วที่สุด ขณะเดียวกันสศช.จะเสนอให้นายกฯเร่งรัดให้หน่วยงานจัดลำดับความสำคัญของโครงการให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลเพื่อให้การดำเนินแต่ละโครงการสามารถเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง
“สศช.ได้รวบรวมแผนงานและโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศโดยแบ่งเป็น ประเภท คือโครงการที่ผ่านการพิจารณาของครม.แล้ว ซึ่งต้องเร่งดำเนินการให้ตามกำหนดกรอบเวลาที่ขอไว้ โครงการที่อยู่ระหว่างการรอเสนอขออนุมัติจากครม. ซึ่งกยอ.เร่งรัดให้กระทรวงเจ้าของโครงการต้องเร่งนำเสนอให้ครม.พิจารณาโดยเร็ว ซึ่งอาจมีบางเรื่องบางโครงการที่ยังไม่พร้อมนำเสนอโดยอาจติดเรื่องของสิ่งแวดล้อม เป็นต้น และโครงการที่อยู่ระหว่างเตรียมการ”
อย่างไรก็ตามวงเงินลงทุนทั้ง 2.27 ล้านล้านบาท จะมาจากการจัดสรรวงเงินงบประมาณ 50% หรือประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท  ขณะเดียวกันในส่วนของวงเงินกู้เพื่อพัฒนาระบบน้ำของประเทศวงเงิน 3.5 แสนล้านบาทที่ครม.ได้เห็นชอบไว้ก่อนหน้านี้มีอยู่ 10,000 ล้านบาท ที่จะจัดสรรมาเป็นวงเงินของโครงการลงทุนระบบพื้นฐานของประเทศด้วย ซึ่งกยอ.มอบให้สศช.และกระทรวงการคลังไปพิจารณาในรายละเอียดว่าควรจัดสรรให้โครงการใดบ้างก่อนเสนอโครงการให้ครม.พิจารณาต่อไป
นายอาคม กล่าวว่า สำหรับโครงการลงทุนทั้งหมดโครงการด้านระบบขนส่งและโลจิสติกส์ ถือว่าเป็นโครงการที่สำคัญที่สุดเพราะสุดท้ายแล้วจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้มาก รองลงมาได้แก่การขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งแนวทางการลงทุนจะมีทั้งการใช้งบประมาณ การใช้เงินกู้ การร่วมลงทุนกับภาคเอกชนในรูปแบบพีพีพี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเสนอกฎหมายต่อที่ประชุมรัฐสภา หากผ่านการพิจารณาแล้วจะทำให้เกิดความสะดวกกับภาคเอกชนมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้โครงการที่สามารถเกิดขึ้นได้ภายในปี 55 ได้แก่โครงการติดตั้งอาณัติสัญญาณ รวมถึงจุดตัดต่างๆ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ขณะที่โครงการที่สำคัญอย่างรถไฟความเร็วสูง นั้นขึ้นอยู่กับกระทรวงคมนาคมว่าจะสามารถสรุปรายละเอียดให้รัฐบาลตัดสินใจได้อย่างไรว่าจะลงทุนในระบบใดเช่นรัฐต่อรัฐ หรือร่วมลงทุนในเรื่องของเทคโนโลยี หรือในรูปแบบอื่นๆ เป็นต้น

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th