วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555

สนช. หนุนงบ “พีทีที โกลบอลฯ ”ตั้งโรงงานนำร่องเม็ดพลาสติกชีวภาพ


สนช.เดินหน้าพัฒนาพลาสติกชีวภาพ หนุนงบ 300 ล้านบาท ให้พีทีที โกลบอลฯ ตั้งโรงงานนำร่องผลิตเม็ดพลาสติกชีวภาพแห่งแรกในไทย ตั้งเป้า 5 ปี ขยายโรงงานผลิตจริงมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท

นายศุภชัย หล่อโลหการ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สนช. เปิดเผยว่า จากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2553 ได้ให้การสนับสนุนงบประมาณจำนวน 1,000 ล้านบาท สำหรับแผนที่นำทางแห่งชาติการพัฒนาอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ ระยะที่ 2 (            2554–2558      ) เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพให้เกิดขึ้นในประเทศไทยได้อย่างรวดเร็ว สนช. จึงริเริ่มสนับสนุนให้เกิดการจัดตั้งโรงงงานนำร่องเพื่อผลิตเม็ดพลาสติกชีวภาพสำหรับขนาดกำลังผลิต 1,000-10,000 ตันต่อปี ให้สามารถดำเนินการผลิตได้ภายใน 3 ปี ด้วยงบประมาณจำนวน 300 ล้านบาท ในขณะที่ภาคเอกชนจะต้องสมทบอีก 700 ล้านบาท

ล่าสุด สนช. ได้ดำเนินการคัดเลือกภาคเอกชนไทยที่มีความพร้อมและมีศักยภาพในการจัดตั้งโรงงานนำร่องดังกล่าว โดยคณะกรรมการนวัตกรรมได้พิจารณาอนุมัติทุนสนับสนุนแก่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เพื่อสร้างโรงงานนำร่องผลิตเม็ดพลาสติกชีวภาพ ขนาด 1,000 ตันต่อปี  โดยจะเน้นกระบวนการนวัตกรรมในการพัฒนาเม็ดพลาสติกชีวภาพให้มีคุณสมบัติที่ดีกว่าผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในปัจจุบัน และส่งเสริมให้เกิดการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพอย่างแพร่หลาย ทั้งนี้หากโรงงานนำร่องประสบความสำเร็จ ภายในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า จะทำให้เกิดการลงทุนจากภาคเอกชนอีก 10,000 ล้านบาท เพื่อขยายการผลิตในเชิงพาณิชย์ให้มีกำลังการผลิตประมาณ 70,000 ตันต่อปี

นอกจากนี้ยังกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมต้นน้ำสำหรับผลิตสารตั้งต้นที่ใช้น้ำตาล หรือแป้งเป็นวัตถุดิบ และอุตสาหกรรมปลายน้ำ เพื่อขึ้นรูปผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ ซึ่งอุตสาหกรรมทั้งหมดในห่วงโซ่มูลค่านี้จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอ้อย หรือมันสำปะหลังไม่ต่ำกว่า 5 เท่า ตลอดจนช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมจากขยะพลาสติกที่ตกค้างอยู่ในสิ่งแวดล้อมมากถึงปีละ 1 ล้านตัน.

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

“ราชประสงค์ แอพพลิเคชั่น” ไลฟ์สไตล์ใหม่เพื่อนักช้อปปิ้งยุคดิจิตอล


สมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ หรือ อาร์เอสทีเอ (RSTA) ย่านศูนย์การค้าชั้นนำ ศูนย์กลางโรงแรมระดับไฮเอ็นด์และแหล่งชอปปิ้งชั้นนำระดับโลก เปิดตัวโมบายแอพพลิเคชั่น “ราชประสงค์ - ฮาร์ท ออฟ แบงค็อก” (Ratchaprasong - Heart of Bangkok) แอพพลิเคชั่นไลฟ์สไตล์เต็มรูปแบบที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองและเติมเต็มความต้องการของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ สะดวกในการค้นหาและเข้าถึงข้อมูลทุกๆ ไลฟ์สไตล์ ด้วยการอัพเดทข้อมูลมากกว่า 1,000 รายการ อาทิ แบรนด์สินค้าแฟชั่น แหล่งท่องเที่ยว แหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหาร สถานที่สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กิจกรรมไลฟ์สไตล์และโปรโมชั่นต่างๆ เป็นต้น สนใจสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นได้แล้ววันนี้ “ฟรี” เพียงเซิร์สคำว่า “Ratchaprasong” และระบบรองรับบน iPhone, iPad และ iPod touch

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

กสทช.'ลับดาบฟันทีวีดาวเทียมโฆษณาเกินจริง


เตรียมฟันโฆษณา “อาหารและยา” อวดอ้างสรรพคุณเกินจริงใน “ทีวีดาวเทียม- เคเบิลทีวี-วิทยุชุมชน” กสทช.เล็งเซ็นเอ็มโอยูกับ 3 หน่วยงาน ระหว่างยังไม่มีการออกใบอนุญาต พร้อมบุกไทยคม ขอความร่วมมือให้แจ้งเตือนผู้เช่าช่องรายการระงับโฆษณาผิด ก.ม.
น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค เปิดเผยว่า ได้ร่วมประชุมกับสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ปคบ.) ได้ข้อสรุปว่าจะมีการเซ็นบันทึกความเข้าใจเบื้องต้น (เอ็มโอยู) ในการกำกับดูแลการโฆษณาและเผยแพร่การออกอากาศผลิตภัณฑ์และสินค้าที่อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน  คาดว่าจะร่วมลงนามกันได้ช่วงกลางเดือน พ.ค. ขณะนี้อยู่ระหว่างการร่างเอ็มโอยูและเสนอความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการ กสทช.
“ปัจจุบัน กสทช.ยังไม่สามารถเข้าไปควบคุมโฆษณาและเนื้อหาของรายการได้  เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาหลักเกณฑ์ในการออกใบอนุญาต และหลักเกณฑ์การกำกับดูแล  ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้ผู้ประกอบการยื่นขอใบอนุญาตได้ในช่วงไตรมาสที่ 3  ทำให้ในปัจจุบันช่องรายการทีวีดาวเทียมที่มีประมาณ 400 ช่อง เคเบิลทีวีกว่า 1,000 ช่อง และวิทยุชุมชนทั่วประเทศ รวมถึงดาวเทียมไทยคมซึ่งเป็นผู้ให้เช่าช่องรายการทีวีดาวเทียม  ยังไม่ใช่ผู้ที่ได้รับใบอนุญาตจาก กสทช.  ระหว่างนี้จึงได้ขอความร่วมมือไปยังบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แจ้งเตือนและระงับการโฆษณา หากทาง อย. ได้แจ้งข้อมูลช่องรายการที่มีการโฆษณาที่ผิดกฎหมายไปให้กับทางไทยคม”
น.ส.สุภิญญา กล่าวต่อว่า ในช่วงสิ้นเดือน เม.ย. เตรียมที่จะเดินทางไปหารือกับผู้บริหารของดาวเทียมไทยคมด้วย การเร่งดำเนินการในเรื่องนี้ก่อน เพราะเป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนอย่างร้ายแรง ในอนาคตเตรียมพิจารณาถึงเนื้อหาอื่น ๆ เช่น ลามกอนาจาร และการเมืองด้วย อย่างไรก็ตามระหว่างที่ยังไม่มีหลักเกณฑ์การกำกับดูแลนั้น การโฆษณาและเผยแพร่ผลิตภัณฑ์และสินค้าต่าง ๆ ในทีวีดาวเทียม เคเบิลทีวี และวิทยุชุมชนจึงขอให้ยึดหลักเกณฑ์และเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อาทิ พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 พระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ.  2535 พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ฯลฯ หากทาง อย. และ สคบ. ชี้แล้วว่าผลิตภัณฑ์โฆษณาเกินจริงผิดกฎหมายสถานีต่าง ๆ ไม่สามารถนำออกอากาศได้เพราะเข้าข่ายขัดต่อ พ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 มาตรา 37.

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

เรื่องคลาวด์ๆกับการซักผ้า - 1001


ท่านผู้อ่านตาไม่ฝาดครับ บทความนี้เกี่ยวกับเรื่องเทคโนโลยีครับ ไม่ได้กลายเป็นคอลัมน์ซุบซิบฯ

ผมอยากจะเขียนถึงเทคโนโลยีหนึ่งที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมานั่นก็คือ คลาวด์คอมพิวติ้ง (cloud computing) หรือคอมพิวเตอร์บนก้อนเมฆ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มาแรงทั้งในต่างประเทศและในบ้านเราด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังจากเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปลายปีที่ผ่านมายิ่งทำให้มีการพูดถึงเทคโนโลยีกันมากขึ้น  แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังสับสนว่ามันคืออะไร ทำไมพูดถึงกันมากเหลือเกิน แต่ดูท่าจะเข้าใจยาก เพราะมันดูเลื่อนลอยเหมือนก้อนเมฆสมชื่อจริง ๆ แล้วเจ้าคลาวด์คอมพิวติ้ง ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่เลยครับ เป็นเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเดิม ๆ ที่เราเห็นมาหลายปี แต่มีการปรับเปลี่ยนบทบาทและแนวทางการนำไปใช้งานจนกระทั่งเกิดประโยชน์อย่างมากแก่ภาคธุรกิจ มีผู้เชี่ยวชาญเคยพูดไว้ว่า คลาวด์คอมพิวติ้งเป็นเพียงก้าวหนึ่งของพัฒนาการทางเทคโนโลยี แต่เป็นการปฏิวัติทางด้านธุรกิจ ทั้งนี้เพราะบริษัทที่ใช้คลาวด์จะมุ่งเน้นที่การใช้ไอทีเพื่อตอบสนองทางธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องมีเครื่องแม่ข่ายเป็นของตัวเอง ไม่ต้องมีการดูแลระบบงานเหล่านี้ด้วยตัวเอง แต่จะเป็นการเช่าหรือเอาต์ซอร์ส (outsource) อุปกรณ์และการดูแลไปให้กับบริษัทผู้บริการคลาวด์ที่มีทีมงานที่เชี่ยวชาญในการดูแลโดยเฉพาะ ซึ่งจะมีความพร้อมที่จะดูแลได้ดีกว่า และมีความสามารถทำได้ถูกกว่า ซึ่งทำให้บริษัทสามารถมุ่งเน้นที่ธุรกิจหลัก (core business) ของบริษัทเองได้อย่างเต็มที่

ผมเชื่อว่าผู้อ่านหลายท่านน่าจะเริ่มเห็นประโยชน์ของคลาวด์คอมพิวติ้ง แต่อาจจะนึกไม่ออกว่าหน้าตามันเป็นอย่างไร ผมขออนุญาตยกตัวอย่างเปรียบเทียบกับของที่เราเห็นในชีวิตประจำวันก็แล้วกันครับ ผมมักบอกนิสิตว่าคลาวด์คอมพิวติ้งเปรียบได้กับการซักผ้า เราทุกคนต้องมีการซักผ้า บางบ้านก็ซักเองด้วยมือ บางบ้านก็ซักด้วยเครื่องซักผ้า เหมือนกับทุกบริษัทที่จะต้องมีการประมวลผลงาน บางบริษัทก็ประมวลผลด้วยมือ ด้วยเครื่องคิดเลข ด้วยลูกคิด หรือบางที่อาจจะใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ แต่อีกหลายบ้านที่ใช้วิธีจ้างซัก

นี่แหละครับคือหลักการของคลาวด์คอมพิวติ้ง  เพราะบ้านที่จ้างซักจะไม่ต้องมีเครื่องซักผ้าของตัวเอง แต่จะมีคนมารับผ้าไปซัก เอาไปซักยังไงก็ไม่รู้ อาจจะซักด้วยเครื่องซักผ้า อาจจะซักด้วยมือริมแม่น้ำเหมือนหนังจีน อาจจะซักรวมกันหลายบ้าน แต่เราก็ไม่ได้สนใจ ขอให้ส่งผ้ากลับมาครบทุกชิ้น สะอาด รีดเรียบ ตรงเวลา เหมือนกับบริษัทที่ใช้
คลาวด์คอมพิวติ้ง ไม่จำเป็นที่จะต้องมีเครื่องแม่ข่ายของตัวเอง ไม่ต้องสนใจว่าการประมวลผลเกิดบนเครื่องแม่ข่ายตัวไหน ขอให้เป็นไปตามข้อตกลงของระดับการให้บริการ (Service Level Agreement) แถมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นก็มีลักษณะเป็นการเช่าตามระยะเวลาและตามปริมาณที่ใช้ ไม่จำเป็นที่จะต้องลงทุนในเบื้องต้น เหมือนกับที่เราจ่ายค่าจ้างซักผ้าเป็นรายชิ้นที่ส่งซัก ไม่ต้องลงทุนเครื่องซักผ้าไว้ที่บ้าน  

ถ้าช่วงไหนใช้เสื้อผ้าเปลือง ก็ต้องจ่ายค่าซักมากหน่อย ถ้าช่วงไหนใช้น้อย คืออาจจะ 3-4 วันเปลี่ยนซะที ก็จ่ายน้อยหน่อย อาจจะมีการส่งผ้าชนิดพิเศษ เช่น ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ชุดสูทส่งซัก ก็มีการคิดราคาพิเศษกันไป ตรงนี้ทำให้ธุรกิจชอบคลาวด์มาก เพราะใช้น้อยจ่ายน้อย ใช้มากจ่ายมาก แถมถ้าต้องการใช้เพิ่มเยอะ ๆ ในช่วงสั้น ๆ หรือมีความต้องการพิเศษก็สามารถทำได้โดยสะดวก

เคยมีกรณีตัวอย่างของต่างประเทศเมื่อ 2 ปีก่อน ที่บริษัทให้บริการขนาดเล็กมีความจำเป็นที่จะต้องขยายเครื่องแม่ข่ายในเวลาอันสั้นคือจาก 40 เครื่อง เป็น 4,000 เครื่อง ภายใน 3 วัน ซึ่งถ้าจะใช้แนวทางเดิม ๆ คือซื้อเครื่องแม่ข่าย ทำการติดตั้งระบบงานแล้วจึงจะใช้งานได้ คงไม่ทันแน่ ๆ แต่เนื่องจากบริษัทนี้ใช้ระบบบนคลาวด์ทำให้สามารถขยายเครื่องแม่ข่ายบนคลาวด์ได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อผ่านไป 2 อาทิตย์ ความต้องการใช้งานลดลงก็สามารถยกเลิกการใช้บริการเครื่องที่ไม่จำเป็นได้โดยง่าย

ยังมีเรื่องคลาวด์ ๆ กับการซักผ้าอีกเยอะครับ เอาไว้ผมจะมาเล่าให้ฟังในโอกาสหน้าครับ.
ผศ.ดร.ณัฐวุฒิ หนูไพโรจน์
ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์
คณะวิศวกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
natawut.n@chula.ac.th

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

โจ๋เคหะบางพลีรุมยำ รปภ.ดับคาแฟลต





รปภ.ชะตาขาดออกจากร้านคาราโอเกะเดินกลับบ้านถูกโจ๋ดักรุมทำร้ายถึงชีวิต
เมื่อเวลา 01.30 น. วันที่ 20 เมษายน 2555 พ.ต.ท.ธนเดช แก้วภิญโญ สารวัตรเวร สภ.บางเสาธง สมุทรปราการ ได้รับแจ้งว่ามีเหตุมีชายถูกทำร้ายเสียชีวิตอยู่ที่ด้านหลัง แฟลตเคหะบางพลีเมืองใหม่โครงการ 3 ตึก 33 หมู่ 15 ตำบลบางเสาธง อำเภอบางเสาธง สมุทรปราการ หลังรับแจ้งจึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.ปราศรัย จิตตะสนธิ ผู้กำกับการตำรวจภูธรบางเสาธง  และกำลังเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนมูลนิธิปอเต๊กตึ้งเดินทางตรวจสอบที่เกิดเหตุ
        
ในที่เกิดเหตุได้พบศพนายวงจร จรัลสวัสดิ์  อายุประมาณ 45 ปี นอนหงายจมกองเลือดเสียชีวิตอยู่กับพื้นถนน ในสภาพสวมกางเกงสีน้ำเงิน สวมเสื้อคอกลมแขนกุดสีดำ  ใกล้กันพบเสื้อซาฟารีสีน้ำเงินตกอยู่  ตรวจสอบตามร่างกายได้พบว่าที่บริเวณศีรษะถูกตีด้วยของแข็งจนแตกกะโหลกยุบ กรามด้านซ้ายหัก ตรวจค้นภายในตัวไม่พบเอกสารแต่อย่างใดมีเพียงบัตรประกันสังคมอยู่เพียงใบเดียว จึงเก็บไว้เป็นหลักฐานก่อนมอบศพให้มูลนิธินำส่งชันสูตรที่สถาบันนิติเวช
       
จากการสอบสวนนายวรวัฒน์  คำสมาน อายุ 21 ปี อาสาสมัครตำรวจชุมชน สภ.บางเสาธง ได้ให้การว่า ผู้ตายทำงานเป็น รปภ.ของบริษัท เคทีเอส การ์ด จำกัด ซึ่งมาทำงานอยู่ตึก30 แฟลตเคหะบางพลีเมืองใหม่โครงการ 3  เมื่อช่วงหัวค่ำหลังเลิกงานได้พบเห็นผู้ตายเข้าไปนั่งดื่มสุราอยู่ที่ร้านคาราโอเกะแห่งหนึ่งใกล้ที่เกิดเหตุ จนกระทั้งกลางดึกได้พบเห็นวัยรุ่นจำนวน 2 คนวิ่งไล่ทำร้ายผู้ตายด้วยของแข็ง ไม่ทราบว่าเป็นเหล็กหรือไม้ ตนและเพื่อนอาสาสมัครที่เห็นเหตุการณ์จึงได้เข้าระงับเหตุ ผู้ก่อเหตุทั้งสองได้วิ่งหนีไป ตนจึงเข้ามาดูผู้ตายพบว่าเสียชีวิตก่อนแล้ว
     
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่า ในขณะที่ผู้ตายนั่งดื่มเหล้าอยู่ในร้านคาราโอเกะจนกระทั้งมึนเมาและกำลังจะเดินกลับบ้านได้เกิดมีเรื่องทะเลาะกับวัยรุ่นภายในการเคหะบางพลีเมืองใหม่จึงถูกกลุ่มวัยรุ่นไล่ทำร้ายใช้ของแข็งไล่ทุบตีจนเสียชีวิตดังกล่าว อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่จะได้เร่งสิบสวนติดตามผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

โจรใต้ลอบวางบึ้มทหารพรานที่สุไหงปาดี เจ็บ 4 นาย







กลุ่มโจรใต้ลอบวางระเบิดแสวงเครื่อง ที่ประกอบใส่ไว้ในถังดับเพลิง หนัก 20 ก.ก. จุดชนวนด้วยแบตเตอรี่ หวังสังหารเจ้าหน้าที่ทหารพราน ได้รับบาดเจ็บไป 4 นาย หลังเกิดเหตุได้เปิดฉากยิงปะทะกัน ก่อนที่คนร้ายจะล่าถอยไป
เมื่อเวลา 12.50 น. วันนี้ (20 เม.ย.) ร.ต.อ.เด่นพงษ์ เต็มยอด พนักงานสอบสวน  สภ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส รับแจ้งมีเหตุคนร้ายจุดชนวนระเบิดสังหารเจ้าหน้าที่ทหารพราน กองร้อยทหารพรานที่ 4805 กรมทหารพรานที่ 48 ได้รับบาดเจ็บ 4 นาย เหตุเกิดช่วงบริเวณทางโค้งบนถนนจารุเสถียร สายสุไหงปาดี-เจาะไอร้อง ช่วงบริเวณบ้านไอบาตู ม.4 ต.โต๊ะเด็ง จึงไปตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.อ.พีระพล ณ พัทลุง ผกก.สภ.สุไหงปาดี พ.ต.ท.ปรีชา กิ่มเกลี้ยง หน.ชุดเฉพาะกิจตำรวจภูธร จ.นราธิวาส พ.ต.ท.กระจ่าง รักษ์ณรงค์ หน.กองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส และเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด ตชด.447 และกำลังเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่ง
ในที่เกิดเหตุพบรถกระบะ ยี่ห้อเชฟโรเลด สีบรอนซ์ทอง ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน จอดเสียหลักอยู่บนถนนในสภาพพังยับเยิน และห่างไปประมาณ 5 เมตร บริเวณกลางถนนพบหลุมระเบิดขนาด ลึก 2 เมตร กว้าง 2 เมตร และมีเศษซากชิ้นส่วนของระเบิดแสวงเครื่องที่คนร้ายประกอบใส่ไว้ในถังดับเพลิง หนัก 20 ก.ก. จุดชนวนด้วยแบตเตอรี่ที่ลากสายไฟยาวไปจุดชนวนในป่ารกทึบริมทาง ตกกระจายเกลื่อนพื้นถนนและพงหญ้า จึงได้เก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน นอกจากนี้ยังพบกองเลือดจำนวนหนึ่งตกอยู่ที่พื้นบนถนน
ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บทั้ง 4 นาย เพื่อนทหารได้ขอความช่วยเหลือชาวบ้านส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาลสุไหงปาดีไปก่อนหน้าแล้ว ทราบชื่อ ส.ต.ศุภัทรชัย มากประสิทธิ์ หัวหน้าชุด  อส.ทพ.จรัญ ชัยนวล  อส.ทพ.นัฐวัตร พฤษาพงษ์ และ อส.ทพ.ไกรสร สีขาว ซึ่งส่วนใหญ่มีบาดแผลจากการกระแทกกับตัวถังรถยนต์ได้รับบาดเจ็บที่บริเวณลำตัว แขน และขา
จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ ส.ต.ศุภัทรชัย หัวหน้าชุด ได้ระดมกำลัง รวม 7 นาย นั่งรถกระบะคันดังกล่าวเพื่อเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ในเขตเทศบาลตำบลปะลุรู อ.สุไหงปาดี หลังเสร็จภารกิจจึงได้นั่งรถเพื่อกลับฐานซึ่งตั้งอยู่บ้านป่าหวาย หมู่ 8 ต.สุไหงปาดี เมื่อถึงที่เกิดเหตุได้มีคนร้ายไม่ทราบจำนวนแฝงตัวอยู่ในป่ารกทึบริมทาง ใช้แบตเตอรี่จุดชนวนระเบิดที่นำไปฝังไว้กลางถนน จนเกิดระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขณะที่รถยนต์กระบะแล่นผ่าน ทำให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ต่อมากลุ่มคนร้ายที่แฝงตัวอยู่ในป่าได้ใช้อาวุธปืนสงครามยิงถล่มซ้ำใส่เจ้าหน้าที่จนทั้ง 2 ฝ่ายเปิดฉากปะทะกันนาน 3 นาที กลุ่มคนร้ายเห็นเจ้าหน้าที่เข้าสนับสนุนจึงได้นำกำลังล่าถอยไป.

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

ดีเอสไอเตรียมลงพื้นที่สอบกรณีซูโดฯหายสัปดาห์หน้า


วันนี้ ( 20 เม.ย.) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) พ.ต.ท.พงษ์อินทร์  อินทรขาว ผบ.สำนักคดีความมั่นคง กล่าวถึงการสอบปากคำผู้อำนวยการโรงพยาบาลและเจ้าของคลินิกรวม  12 แห่ง ที่พบความผิดปกติในการจัดซื้อยาแก้หวัดสูตรซูโดอีเฟดรีนว่า  วันนี้เป็นการสอบปากคำผอ.รพ.และเจ้าของคลินิกต่อเนื่องอีก 8 แห่ง ประกอบด้วย รพ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ , รพ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์ , รพ.นวมินทร์ 1 กทม. , รพ.สยามราษฎร์ จ.เชียงใหม่ ,รพ.เซ็นทรัลเมมโมเรียล จ.เชียงใหม่ , รพ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ,  คลินิกแพทย์สัมพันธ์ จ.เชียงใหม่ และคลินิกแพทย์สุพรชัย จ.ลพบุรี  โดยชั้นนี้ดีเอสไอจะเปิดโอกาสให้ผู้บริหารสถานพยาบาลเข้าชี้แจงอย่างเต็มที่ จากนั้นในสัปดาห์หน้าพนักงานสอบสวนจะลงพื้นที่สอบปากคำเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่คลังยา  บริษัทยา ทั้งในภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ และปริมณฑล
 
พ.ต.ท.พงษ์อินทร์ กล่าวอีกว่า จากการสอบปากคำผู้บริหาร รพ.พบว่าแต่ละแห่งมีข้อเท็จจริงที่แตกต่างกันออกไป โดยบางแห่งอ้างว่าเจ้าหน้าที่คลังยาเป็นผู้ลักลอบนำยาออกไป บางแห่งอ้างว่ามีการทำเอกสารปลอม และปลอมลายมือชื่อ  ดังนั้นจึงมีการนำพยานหลักฐานมาประกอบการชี้แจงด้วยทั้งในรูปของเอกสารและคลิปวิดีโอ  อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังเป็นการสอบสวนพยาน ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาบุคคลใดทั้งสิ้น เพราะยังต้องรอการสอบพยานแวดล้อมอื่นเพิ่มเติมเช่น เอกสารการเงิน ความเชื่อมโยงของบุคคล เอกสารใบสั่งยา และใบเสร็จรับเงิน  ส่วนกรณีทีผอ.รพ.ศูนย์อุดรธานี จ.อุดรธานี ให้การว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดูแลคลังยา โดยอ้างคำรับสารภาพของเภสัชกรห้องยาซึ่งเป็นผู้นำยาซูโดอีเฟดรีนกว่า 7.2  ล้านเม็ด ออกไปเพียงคนเดียวนั้น ดีเอสไอไม่ได้ให้น้ำหนักมากนัก โดยถือเป็นคำให้การของพยานทั่วไป ซึ่งผอ.รพ.จะมีส่วนร่วมรับผิดชอบแค่ไหนมีกำหนดไว้ในระเบียบพัสดุ 
 
“ในส่วนของรพ.สยามราษฎร์ จ.เชียงใหม่ พบว่ามีการลักลอบนำซูโดอีเฟดรีนสูตรเดี่ยวกว่า 250,000 เม็ด ออกไปจากโรงพยาบาล จะมีความผิดตามพ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์ฯ เพราะเป็นยาซูโดฯชนิดเข้มข้น 60 มิลลิกรัม โดยยาชนิดนี้ 1 เม็ด สามารถนำไปผลิตเป็นยาบ้าเกรดเอ ได้ 2 เม็ด หรือนำไปผลิตเป็นยาบ้าเกรดต่ำเพื่อส่งขายผู้เสพตลาดล่างได้ 5 เม็ด”ผอ.สำนักคดีความมั่นคงกล่าว
 
  พ.ต.ท.พงษ์อินทร์ กล่าวต่อว่า สำหรับการตรวจสอบลายมือลายเซ็นเพื่อเปรียบเทียบกับเอกสารที่พบภายในห้องยา รพ.กมลาไสย นั้น  ดีเอสไอได้ส่งตัวอย่างลายมือลายเซ็นไปให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ตรวจสอบแล้ว รวมทั้งยังได้ส่งตรวจตัวอย่างดีเอ็นเอจากแผงยาแก้หวัดที่ถูกแกะเม็ดยาออกไปด้วย

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

“ประชา”ชี้คำวินิจฉัยศาลรธน.ใช้เป็นบรรทัดฐานช่วยประชาชนในอนาคต



วันนี้ ( 20 เม.ย.) พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญให้จำหน่ายคำร้อง ส.ส.ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการของบริจาคน้ำท่วมว่า คำวินิจฉัยดังกล่าวศาลรัฐธรรมนูญได้คำนึงถึงการช่วยเหลือประชาชนที่กำลังตกทุกข์ได้ยากจากสถานการณ์อุทกภัย ซึ่งในปี 2554 ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติดังกล่าวรุนแรงมาก ตนเห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลสามารถนำไปเป็นบรรทัดฐานได้ในอนาคต เมื่อเกิดเหตุอุทกภัยเช่นนี้ขึ้นอีก เพราะ ส.ส. สามารถทำหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนได้อย่างเต็มที่ ส่วนคดีที่ยังอยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ(ป.ป.ช.) ก็เป็นอีกประเด็นที่ตนต้องเข้าไปให้ถ้อยคำกับทาง ป.ป.ช. สุดท้ายผลจะออกมาเป็นเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของ ป.ป.ช. ทั้งนี้มองว่าการที่ ส.ส.ใช้หน้าที่เข้าไปช่วยเหลือประชาชน ถือเป็นหน้าที่หลักที่ต้องปฎิบัติ เพราะสุดท้ายผลประโยชน์ทุกอย่าง ส.ส. หรือพรรคการเมืองก็ไม่ได้เป็นคนได้ประโยชน์ เพราะคนที่ได้ประโยชน์จริงๆ คือประชาชน

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ว่า กรณีดังกล่าวนี้ศาลรัฐธรรมนูญจะให้ความสำคัญเกี่ยวกับภัยพิบัติ ส่วนกรณีของตนศาลก็ได้วินิจฉัยอย่างชัดเจนว่าได้ทำหน้าที่ตามปกติโดยไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัวหรือผู้อื่นมาเกี่ยวข้อง ขณะที่คำร้องตนที่ได้ยื่นร้องพรรคเพื่อไทยนั้น ศาลได้วินิจฉัยว่าตัวผู้ถูกแต่งตั้งยังไม่ทราบคำสั่งและก็มีการยกเลิกคำสั่งนั้นไป ซึ่งตนนี้คงต้องไปดูในรายละเอียดว่าคำวินิจฉัยจะสามารถเป็นบรรทัดฐานในการทำหน้าที่ต่อไปหรือไม่ ทั้งนี้กรณีดังกล่าวยังมีเรื่องค้างอยู่ที่ ป.ป.ช. ซึ่งก็ไม่รู้ว่าบรรทัดฐานจะออกมาเป็นเช่นไร เพราะกรณีที่นำทรัพย์สินของทางราชการไป เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจว่าเป็นของตนเองหรือพรรคการเมือง ซึ่งตรงนี้ไม่แน่ใจว่าศาลจะรับรองว่าทำได้หรือไม่  ทั้งนี้ในมุมมองของบุคคลที่ต้องทำงานในสถานการณ์ที่เกิดภัยพิบัตินั้น ตนก็ได้ยึดตามแนวทางว่าเข้าไปประสานงานได้แต่ไม่ควรไปก้าวก่ายการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่และข้าราชการ และต้องไม่มีอำนาจในทางบริหาร

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

“นายกฯปู”เข้าร่วมเวทีประชุมผู้นำลุ่มแม่น้ำโขงที่ญี่ปุ่น





“นายกฯปู”เข้าร่วมเวทีประชุมผู้นำลุ่มแม่น้ำโขงที่ญี่ปุ่น ย้ำภาคเอกชนญี่ปุ่นเป็นกลไกสำคัญขับเคลื่อนศก.ลุ่มน้ำโขง
วันนีี ( 20 เม.ย.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ  นางนลินี ทวีสิน  นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  และคณะได้เดินทางเข้าร่วมประชุมผู้นำลุ่มแม่น้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 4  ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ทั้งนี้ในเวลา 12.00 น.ตามเวลาท้องถิ่นของโตเกียว ที่เร็วกว่า กทม. 2 ชม. นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารกลางวันร่วมกับผู้นำประเทศลุ่มน้ำโขง โดยมีสมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น Keidanren และ Japan Chamber of Commerce and Industry (JCCI) เป็นเจ้าภาพเลี้ยงเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้นำ 6 ชาติ

นายกรัฐมนตรี กล่าวสุนทรพจน์ในงานเลี้ยงอาหารกลางวันว่า  หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยเมื่อปลายปีที่ผ่านมานั้นเราได้ประจักษ์ว่า ภัยพิบัติของประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนและภาคธุรกิจของประเทศในลุ่มแม่น้ำโขงเพียงอย่างเดียว แต่ได้ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตที่เชื่อมโยงระหว่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น สร้างความเสียหายทางธุรกิจเป็นจำนวนมากให้กับภาคธุรกิจของญี่ปุ่น ทั้งนี้รัฐบาลไทยได้เร่งดำเนินมาตรการฟื้นฟูประเทศจากอุทกภัยมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุด เมื่อวันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่าน รัฐบาลไทยได้อนุมัติการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติมูลค่า 5 หมื่นล้านบาท หรือ 1,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะช่วยคุ้มครองครัวเรือนและผู้ประกอบการรวม 1.54 ล้านราย วงเงินคุ้มครองรวม 2.6 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 86,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งความพยายามข้างต้นของรัฐบาลไทย ได้แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการลงทุนของญี่ปุ่นในประเทศไทย โดยเฉพาะการลงทุนของบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อมของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของทั้งประเทศญี่ปุ่นและอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
 
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าที่ผ่านมาภาคธุรกิจญี่ปุ่นมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการเป็นแกนกลางในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับประเทศลุ่มแม่น้ำโขง และจะสามารถมีบทบาทที่สำคัญยิ่งขึ้นในการสร้างเสริมความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดนี้ให้แนบแน่นยิ่งขึ้นในอนาคต และขอชื่นชมการใช้ประโยชน์ทางธุรกิจจากโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เป็นประเด็นท้าทายอีกประเด็นหนึ่งที่ภาคเอกชนญี่ปุ่นจะสามารถใช้เป็นกลไกสำคัญในการผลักดันในการพัฒนาจากแนวพื้นที่การคมนาคมขนส่งให้เป็นแนวพื้นที่เศรษฐกิจอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวแสดงความขอบคุณอีกในความร่วมมือของภาคเอกชนญี่ปุ่นที่มีให้กับรัฐบาลไทยในช่วงระหว่างและภายหลังเหตุการณ์อุทกภัย มีส่วนช่วยอย่างยิ่งในการเร่งรัดกระบวนการฟื้นฟุระบบเศรษฐกิจไทยให้กลับมาเข้มแข็งโดยเร็ว
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  นายกรัฐมนตรีและ ผู้นำประเทศลุ่มน้ำโขง 5 ประเทศประกอบด้วย เมียนมาร์ ลาว กัมพูชา เวียดนาม และญี่ปุ่น  เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น ณ พระราชวังอิมพีเรียล   และในช่วงค่ำนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำแก่ผู้นำประเทศลุ่มน้ำโขง 5 ประเทศ ณ พระราชวังอิมพีเรียล 

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th