วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555

เรื่องคลาวด์ๆกับการซักผ้า - 1001


ท่านผู้อ่านตาไม่ฝาดครับ บทความนี้เกี่ยวกับเรื่องเทคโนโลยีครับ ไม่ได้กลายเป็นคอลัมน์ซุบซิบฯ

ผมอยากจะเขียนถึงเทคโนโลยีหนึ่งที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมานั่นก็คือ คลาวด์คอมพิวติ้ง (cloud computing) หรือคอมพิวเตอร์บนก้อนเมฆ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มาแรงทั้งในต่างประเทศและในบ้านเราด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังจากเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปลายปีที่ผ่านมายิ่งทำให้มีการพูดถึงเทคโนโลยีกันมากขึ้น  แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังสับสนว่ามันคืออะไร ทำไมพูดถึงกันมากเหลือเกิน แต่ดูท่าจะเข้าใจยาก เพราะมันดูเลื่อนลอยเหมือนก้อนเมฆสมชื่อจริง ๆ แล้วเจ้าคลาวด์คอมพิวติ้ง ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่เลยครับ เป็นเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเดิม ๆ ที่เราเห็นมาหลายปี แต่มีการปรับเปลี่ยนบทบาทและแนวทางการนำไปใช้งานจนกระทั่งเกิดประโยชน์อย่างมากแก่ภาคธุรกิจ มีผู้เชี่ยวชาญเคยพูดไว้ว่า คลาวด์คอมพิวติ้งเป็นเพียงก้าวหนึ่งของพัฒนาการทางเทคโนโลยี แต่เป็นการปฏิวัติทางด้านธุรกิจ ทั้งนี้เพราะบริษัทที่ใช้คลาวด์จะมุ่งเน้นที่การใช้ไอทีเพื่อตอบสนองทางธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องมีเครื่องแม่ข่ายเป็นของตัวเอง ไม่ต้องมีการดูแลระบบงานเหล่านี้ด้วยตัวเอง แต่จะเป็นการเช่าหรือเอาต์ซอร์ส (outsource) อุปกรณ์และการดูแลไปให้กับบริษัทผู้บริการคลาวด์ที่มีทีมงานที่เชี่ยวชาญในการดูแลโดยเฉพาะ ซึ่งจะมีความพร้อมที่จะดูแลได้ดีกว่า และมีความสามารถทำได้ถูกกว่า ซึ่งทำให้บริษัทสามารถมุ่งเน้นที่ธุรกิจหลัก (core business) ของบริษัทเองได้อย่างเต็มที่

ผมเชื่อว่าผู้อ่านหลายท่านน่าจะเริ่มเห็นประโยชน์ของคลาวด์คอมพิวติ้ง แต่อาจจะนึกไม่ออกว่าหน้าตามันเป็นอย่างไร ผมขออนุญาตยกตัวอย่างเปรียบเทียบกับของที่เราเห็นในชีวิตประจำวันก็แล้วกันครับ ผมมักบอกนิสิตว่าคลาวด์คอมพิวติ้งเปรียบได้กับการซักผ้า เราทุกคนต้องมีการซักผ้า บางบ้านก็ซักเองด้วยมือ บางบ้านก็ซักด้วยเครื่องซักผ้า เหมือนกับทุกบริษัทที่จะต้องมีการประมวลผลงาน บางบริษัทก็ประมวลผลด้วยมือ ด้วยเครื่องคิดเลข ด้วยลูกคิด หรือบางที่อาจจะใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ แต่อีกหลายบ้านที่ใช้วิธีจ้างซัก

นี่แหละครับคือหลักการของคลาวด์คอมพิวติ้ง  เพราะบ้านที่จ้างซักจะไม่ต้องมีเครื่องซักผ้าของตัวเอง แต่จะมีคนมารับผ้าไปซัก เอาไปซักยังไงก็ไม่รู้ อาจจะซักด้วยเครื่องซักผ้า อาจจะซักด้วยมือริมแม่น้ำเหมือนหนังจีน อาจจะซักรวมกันหลายบ้าน แต่เราก็ไม่ได้สนใจ ขอให้ส่งผ้ากลับมาครบทุกชิ้น สะอาด รีดเรียบ ตรงเวลา เหมือนกับบริษัทที่ใช้
คลาวด์คอมพิวติ้ง ไม่จำเป็นที่จะต้องมีเครื่องแม่ข่ายของตัวเอง ไม่ต้องสนใจว่าการประมวลผลเกิดบนเครื่องแม่ข่ายตัวไหน ขอให้เป็นไปตามข้อตกลงของระดับการให้บริการ (Service Level Agreement) แถมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นก็มีลักษณะเป็นการเช่าตามระยะเวลาและตามปริมาณที่ใช้ ไม่จำเป็นที่จะต้องลงทุนในเบื้องต้น เหมือนกับที่เราจ่ายค่าจ้างซักผ้าเป็นรายชิ้นที่ส่งซัก ไม่ต้องลงทุนเครื่องซักผ้าไว้ที่บ้าน  

ถ้าช่วงไหนใช้เสื้อผ้าเปลือง ก็ต้องจ่ายค่าซักมากหน่อย ถ้าช่วงไหนใช้น้อย คืออาจจะ 3-4 วันเปลี่ยนซะที ก็จ่ายน้อยหน่อย อาจจะมีการส่งผ้าชนิดพิเศษ เช่น ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ชุดสูทส่งซัก ก็มีการคิดราคาพิเศษกันไป ตรงนี้ทำให้ธุรกิจชอบคลาวด์มาก เพราะใช้น้อยจ่ายน้อย ใช้มากจ่ายมาก แถมถ้าต้องการใช้เพิ่มเยอะ ๆ ในช่วงสั้น ๆ หรือมีความต้องการพิเศษก็สามารถทำได้โดยสะดวก

เคยมีกรณีตัวอย่างของต่างประเทศเมื่อ 2 ปีก่อน ที่บริษัทให้บริการขนาดเล็กมีความจำเป็นที่จะต้องขยายเครื่องแม่ข่ายในเวลาอันสั้นคือจาก 40 เครื่อง เป็น 4,000 เครื่อง ภายใน 3 วัน ซึ่งถ้าจะใช้แนวทางเดิม ๆ คือซื้อเครื่องแม่ข่าย ทำการติดตั้งระบบงานแล้วจึงจะใช้งานได้ คงไม่ทันแน่ ๆ แต่เนื่องจากบริษัทนี้ใช้ระบบบนคลาวด์ทำให้สามารถขยายเครื่องแม่ข่ายบนคลาวด์ได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อผ่านไป 2 อาทิตย์ ความต้องการใช้งานลดลงก็สามารถยกเลิกการใช้บริการเครื่องที่ไม่จำเป็นได้โดยง่าย

ยังมีเรื่องคลาวด์ ๆ กับการซักผ้าอีกเยอะครับ เอาไว้ผมจะมาเล่าให้ฟังในโอกาสหน้าครับ.
ผศ.ดร.ณัฐวุฒิ หนูไพโรจน์
ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์
คณะวิศวกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
natawut.n@chula.ac.th

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น