วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

สั่งจับเน็ตคาเฟ่ใช้ซอฟต์แวร์เถื่อน


วันนี้( 26 มี.ค.) พ.ต.อ.ชัยณรงค์ เจริญไชยเนาว์ รองผู้บังคับการและโฆษกของกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) เปิดเผยว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) มีนโยบายปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยจัดส่งตำรวจอย่างน้อย 5 ชุดลงปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในพื้นที่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ขอนแก่น ชลบุรี และภูเก็ต ตั้งเป้าหมายใน 2 เดือนจะสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดฐานละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาได้ไม่น้อยกว่า 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
"เมื่อเร็วๆนี้ ได้ ทาง บก.ปอศ.ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่พร้อมหมายค้นเข้าตรวจร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ในเขตสวนหลวงพบเครื่องคอมพิวเตอร์28 เครื่องมีการลักลอบลงโปรแกรมเถื่อนเพื่อให้บริการกับลูกค้าทั่วไปมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 7.5 แสนบาท อีกหลายเป็นร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ในห้างสรรพสินค้าดังย่านรังสิต พบเครื่องคอมพิวเตอร์ลงโปรแกรมละเมิดลิขสิทธิ์ 28 เครื่องมูลค่าความเสียหายประมาณ 8 แสนบาท จึงขอฝากเตือนร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ทั่วประเทศให้หลีกเลี่ยงการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าตรวจค้นแบบปูพรมในทุกภาคของประเทศ หากพบว่ามีการละเมิดลิขสิทธิ์ ผู้กระทำผิดจะได้รับโทษภายใต้พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ ปี พ.ศ. 2537 ว่าด้วยการละเมิดลิขสิทธิ์โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นการขาย การถือครองเพื่อขาย หรือการนำเสนอขายโปรแกรมเหล่านั้น โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 4 ปี หรือปรับไม่เกิน 8 แสนบาท และศาลอาจมีคำสั่งให้ปิดกิจการของผู้กระทำความผิดได้” พ.ต.อ.ชัยณรงค์ กล่าว
พ.ต.อ.ชัยณรงค์ กล่าวต่อว่า การละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียรายได้จากภาษีอากรในแต่ละปีเป็นจำนวนมหาศาล และยังเป็นการทำลายภาพลักษณ์ของไทยในสายตาของต่างชาติ โดยเฉพาะไทยกำลังก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี พ.ศ.2558 จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศสมาชิกจะต้องจัดการกับปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และเมื่อไม่นานมานี้ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ได้ลงนามความร่วมมือร่วมกับสตช. เพื่อจัดตั้งศูนย์ปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อทำหน้าที่ประสานการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและส่งเสริมให้ความร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับภาคเอกชน มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้การละเมิดในพื้นที่เฝ้าระวังพิเศษ(พื้นที่สีแดง)และพื้นที่ต้องเฝ้าระวัง (พื้นที่สีเหลือง) ลดน้อยลง

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น