วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

อังกฤษติดรูปควีนขนาดยักษ์ริมแม่น้ำเทมส์




รัฐบาลเมืองผู้ดีนำภาพถ่ายขนาดยักษ์ของ "ควีนเอลิซาเบธ" กับพระราชวงศ์ ริมฝั่งแม่น้ำเทมส์ ในโอกาสทรงครองราชย์ครบ 60 ปี
วันนี้ ( 26 พ.ค. ) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษว่า ทางการอังกฤษทำการติดตั้งพระฉายาลักษณ์ขาว-ดำ ของสมเด็จพระนางเจ้าเอลิซาเบธที่ 2 พร้อมด้วยเจ้าชายฟิลิป ดยุคแห่งเอดินบะระ พระสวามี รวมถึงพระราชโอรส และพระราชธิดา เสด็จออกมาทรงโบกพระหัตถ์ให้กับพสกนิกร ณ ระเบียงมุข พระราชวังบักกิงแฮม ซึ่งได้รับการบันทึกไว้เมื่อปี 2520 อันตรงกับวาระเฉลิมฉลองที่พระองค์ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 25 ปี หรือพระราชพิธีรัชดาภิเษก บริเวณริมฝั่งแม่น้ำเทมส์ ในกรุงลอนดอน เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา


พระฉายาลักษณ์ที่นำมาติดตั้งนี้ ถือเป็นพระฉายาลักษณ์ของราชวงศ์อังกฤษที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ด้วยความสูงถึง 70 เมตร กว้าง 100 เมตร หนัก 2 ตัน  ใช้เวลาติดตั้งนานกว่า 45 ชั่วโมง โดยใช้คนงานจำนวน 8 คน และจะจัดแสดงไว้ใกล้กับสะพาน แบล็คไฟรเออร์ส ใจกลางกรุงลอนดอน จนถึงสิ้นเดือน มิ.ย. นี้ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองในวโรกาสที่ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2  ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี
ทั้งนี้ รัฐบาลอังกฤษเตรียมจัดงานพระราชพิธีพัชราภิเษกสมโภช ระหว่างวันที่ 2-5 มิ.ย.นี้ โดยจะมีทั้งการแสดงดนตรีภายในบริเวณพระราชวังบักกิงแฮม ขบวนพาเหรดตระการตา รวมถึงกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคกลางแม่น้ำเทมส์ โดยจะใช้เรือในพระราชพิธีกว่า 1,000 ลำ...

แสดงความคิดเห็น

คุณยายวัย 73 ปี ยอมรับว่า “แก่” เป็นครั้งแรก หลังพิชิตเอเวอร์เรสต์สำเร็จ





คุณยายแดนซามูไรทำลายสถิติผู้หญิงอายุมากที่สุดที่สามารถพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสต์สำเร็จในวัย 73 ปี พร้อมกับยอมรับว่า "ชราภาพ" เป็นครั้งแรก
วันนี้ ( 26 พ.ค. ) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล ว่า นางทามาเอะ วาตานาเบะ นักไต่เขาหญิงชาวญี่ปุ่น วัย 73 ปี ให้สัมภาษณ์ยอมรับว่าตัวเองรู้สึก “เหนื่อยล้า” เป็นครั้งแรก หลังสามารถทำลายสถิติเดิมของตัวเอง ในการเป็นผู้หญิงอายุมากที่สุด ที่สามารถพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสต์ได้สำเร็จ เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมา ขณะมีอายุได้ 73 ปี 6 เดือน


ทั้งนี้ นางวาตานาเบะ ผู้เคยสร้างสถิติ เป็นหญิงอายุมากที่สุดในโลก ที่ที่สามารถพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสต์ได้สำเร็จ เมื่อวันที่ 16 พ.ค. 2545 กล่าวอย่างติดตลกว่า การปีนขึ้นสู่ยอดเขาเอเวอร์เรสต์ในครั้งนี้ ยากกว่าครั้งที่ผ่านมา  เนื่องจากอุณหภูมิบริเวณยอดเขาที่อุ่นขึ้นกว่าครั้งก่อน นอกจากนี้ เธอยังรู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้า และอ่อนแรงเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นไปได้ว่า เธออาจเพิ่งรู้ตัวว่า ตนเองเข้าสู่วัยชราแล้วจริงๆ


ก่อนหน้านี้ เมื่อวันเสาร์ที่ 19 พ.ค. นักไต่เขากว่า 200 คน พยายามปีนขึ้นไปให้ถึงยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกแห่งนี้ แต่ 4 รายเสียชีวิตก่อนถึงยอดเขา ซึ่งคณะแพทย์เชื่อว่า มีสาเหตุจากความเหนื่อยล้า และการต้องเผชิญความสูง และสภาพอากาศอันโหดร้ายเหนือระดับน้ำทะเลกว่า 8,000 เมตร


สำหรับเจ้าของสถิติชายอายุมากที่สุด ที่สามารถพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสต์ได้สำเร็จ คือนายมิน บาฮาดูร์ เชอร์จัน ชาวเนปาล ทำไว้เมื่อปี 2551 ขณะมีอายุได้ 76 ปี..

ตัวเต็งปธน.อียิปต์วอนประชาชนออกมาใช้สิทธิ์รอบสองให้มากที่สุด





ตัวเต็งปธน.อียิปต์วอนประชาชนออกมาใช้สิทธิ์รอบสองให้มากที่สุด
วันนี้ ( 26 พ.ค. ) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ว่า แกนนำพรรคภราดรภาพมุสลิมของอียิปต์ แถลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เรียกร้องให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบชิงดำ ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 16-17 มิ.ย. นี้ ให้มากที่สุด เพื่อให้ประเทศหลุดพ้นจากระบอบการปกครองแบบเผด็จการของนายฮอสนี มูบารัก อดีตผู้นำที่ถูกโค่นอำนาจเมื่อเดือน ก.พ. ปีที่แล้ว โดยสมบูรณ์
แถลงการณ์ของพรรคภราดรภาพมุสลิม ระบุว่า นายโมฮัมเหม็ด มูร์ซี ได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นอันดับ 1 จากผลการเลือกตั้งรอบแรก ระหว่างวันที่ 23-24 พ.ค. ที่ผ่านมา ด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 25.3 โดยมีนายอาเหม็ด ชาฟิก นายกรัฐมนตรีคนสุดท้ายในคณะรัฐบาลของนายมูบารัก ตามมาเป็นอันดับ 2 ด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 24 และนายฮัมดีน ซาบาฮี จากพรรคสังคมนิยม ได้รับคะแนนเสียงตามมาเป็นอันดับ 3 ที่ร้อยละ 22
ทั้งนี้ การเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบ 2 หรือการเลือกตั้งรอบชิงดำ ระหว่างนายมูร์ซี และนายชาฟิก จะเป็นตัวบ่งชี้อนาคตของอียิปต์ และกำหนดทิศทางของประเทศทั้งในด้านการเมือง และเศรษฐกิจ หลังการลุกฮือประท้วงของประชาชนในปรากฏการณ์ "อาหรับสปริง” เพื่อขับไล่นายมูบารัก เมื่อ 15 เดือนก่อน
ขณะที่คณะกรรมการการเลือกตั้งของอียิปต์เผยยอดผู้มาใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งประวัติศาสตร์ ระหว่างวันที่ 23-24 พ.ค. ว่าอยู่ที่ประมาณร้อยละ 50 ของจำนวนผู้มีสิทธิ์ออกเสียงทั่วประเทศ นอกจากนี้ คณะกรรมการจะประกาศผลการนับคะแนนอย่างเป็นทางการในวันอังคารที่ 29 พ.ค. นี้
ด้านท่าทีของชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐ นางฮิลารี คลินตัน รมว.ต่างประเทศ กล่าวชื่นชมที่การเลือกตั้งผู้นำอียิปต์รอบแรกผ่านพ้นไปด้วยดี โดยรัฐบาลวอชิงตันพร้อมที่จะทำงาน และให้ความสนับสนุนรัฐบาลอียิปต์ชุดใหม่ในทุกด้าน..

รัฐสภาเวียดนามลงมติขับ ส.ส.หญิงมหาเศรษฐีพ้นสภาพ





สมาชิกรัฐสภาเวียดนาม ลงมติเป็นเอกฉันท์ ถอดถอน นางดั่งถิหว่างเอี๋ยน ส.ส.หญิงวัย 53 ปี พ้นสภาพ ส.ส. ฐาน "ไม่ซื่อสัตย์" ปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับสามี ที่ตกเป็นผู้ต้องหาคดีฉ้อโกง รวมทั้งปกปิดข้อมูลส่วนตัว และซื้อเสียงเลือกตั้ง ส.ส.
วันนี้ (26 พ.ค.) การประชุมรัฐสภาเวียดนาม ในกรุงฮานอย ที่ประชุมมีการอภิปรายและลงมติ ให้ถอดถอน นางดั่งถิหว่างเอี๋ยน ส.ส.หญิงมหาเศรษฐีวัย 53 ปี จากจังหวัดลองอาน ฐาน “ไม่ซื่อสัตย์” จงใจปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับนายจิมมี่ เจิ่น สามีคนที่ 2 ของเธอ ซึ่งเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายเวียดนาม และตกเป็นผู้ต้องหาในคดีฉ้อโกง ที่ทางการเวียดนามต้องการตัวไปดำเนินคดี นอกจากนั้นเธอยังถูกกล่าวหาว่าปกปิดข้อมูลส่วนตัว การเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ และซื้อเสียงผู้มีสิทธิลงคะแนน ขณะลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อปีที่แล้ว โดยเสียงสนับสนุนให้ถอดถอนเธอพ้นสมาชิกสภาพ ส.ส. มี 457 เสียง จาก ส.ส. ทั้งหมด 500 คนของรัฐสภา

นางเอี๋ยน ประธานบริษัทพัฒนานิคมอุตสาหกรรม เติ่น เตา กรุ๊ป ใน จ.ลองอาน ทางใต้ของประเทศ ติดกับเมืองโฮจิมินห์ และยังเป็นประธานสภามหาวิทยาลัยเติ่น เตา ใน จ.ลองอาน ด้วย นางเอี๋ยนได้รับการจัดอันดับให้เป็นสตรีที่ร่ำรวยที่สุดของเวียดนาม และติดอันดับ 1 ใน 10 มหาเศรษฐีของเวียดนามระหว่างปี             2551 – 2553       ก่อนจะหล่นลงอันดับ 37 ในปีที่แล้ว นางเอี๋ยนแต่งงานกับนายเจิ่นวัย 57 ปี ซึ่งปัจจุบันนายเจิ่นพักอาศัยอยู่ที่อเมริกา โดยนายเจิ่นถูกกระทรวงความมั่นคงภายในเวียดนามยื่นฟ้องศาล ในข้อหาฉ้อโกงเมื่อเดือน ก.ย. 2553 จากการใช้อำนาจโยกย้ายทรัพย์สินของบริษัท ซึ่งขณะนั้นนายเจิ่นดำรงตำแหน่ง ผอ. สำนักงานพัฒนาชุมชนเมือง จ. ลองอาน

นางเอี๋ยนลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. เขตจังหวัดลองอาน เมื่อเดือน พ.ค. ปีที่แล้ว ในนามของพรรคแนวร่วมปิตุภูมิเวียดนาม แทนที่จะเป็นพรรคคอมมิวนิสต์ที่เธอเป็นสมาชิก และส่วนหนึ่งของข้อมูลประวัติส่วนตัว ที่เธอกรอกในใบสมัครระบุว่า สามีคือนายเหงียนจิฮาย เสียชีวิตในปี 2532 โดยไม่ได้ระบุถึงนายจิมมี่ เจิ่น สามีคนปัจจุบัน
ภายใต้กฎหมายของเวียดนาม ส.ส. สามารถถูกถอดถอนจากตำแหน่งได้ หากปกปิดหรือแจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จ ในใบสมัครรับเลือกตั้ง.

คืบหน้าคดีไล่ล่ามินิคูเปอร์





เจ้าหน้าที่ตำรวจพบรถมินิคูเปอร์ชนคนแล้วหนีแล้ว ถูกส่งมาซ่อมในอู่รถย่านเอกมัย แต่ยังไม่ทราบตัวคนขับ

  จากกรณีผู้ใช้เฟสบุ๊ก ชื่อ Wong Cartoon ได้โพสต์ข้อความพร้อมภาพของน้องสาว ซึ่งเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ที่ประสบอุบัติเหตุถูกรถยนต์มินิคูเปอร์ ล้อแม็กซ์สีดำ ป้ายแดง ทะเบียน 4721 พุ่งชน ขณะที่ตนเองพร้อมเพื่อนอีก 3 คนลงไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ จากเหตุรถชนกันบนสะพานพระราม 9 เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมา จนกลายเป็นประเด็นดังในสังคมออนไลน์ ล่าสุดทางตำรวจได้พยายามหาเบาะแสจากกล้องวงจรปิดตามเส้นทางที่รถยนต์คันนี้ขับผ่านไป และตรวจสอบไปยังศูนย์นำเข้ารถยนต์มินิคูเปอร์แล้ว แต่การตรวจสอบเป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะกล้องวงจรปิดตามทางด่วนอยู่ในมุมสูงไม่สามารถจับป้ายทะเบียนรถได้ อีกทั้งป้ายทะเบียนเป็นป้ายแดงซึ่งอาจเป็นเพียงป้ายสวมทะเบียนเท่านั้น อย่างไรก็ตามในส่วนของผู้บาดเจ็บยังไม่ได้สติ สมองถูกกระทบกระเทือน ขาหัก มีเลือดออกในช่องท้อง พักรักษาตัวอยู่ห้องไอซียู ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
  ความคืบหน้ากรณีดังกล่าว เมื่อเวลา 15.00 น.วันนี้ (26 พ.ค.) พ.ต.ท.ณัฐพล โกมินทรชาติ รองผกก.งานศูนย์ควบคุมจราจรด่วน 1 กก.2.บก.จร เปิดเผยว่า ขณะนี้เราได้รถมินิคูเปอร์คันต้องสงสัยว่าจะก่อเหตุมาจากอู่ซ่อมรถย่านเอกชัย ซึ่งเป็นรถมินิคูเปอร์หมายเลขทะเบียน ฆก 5232 กทม. ซึ่งรถคันดังกล่าวมีร่องรอยการถูกชนและกระจกด้านหน้าแตก รวมทั้งกันชนหน้าได้รับเสียกาย ทั้งนี้ตนได้มอบหมายให้ทางพ.ต.ท.กันตภณ สินธวาชีวะ พงส.สบ.3 สน.ทางด่วน 2 เป็นเจ้าของคดีดังกล่าว ซึ่งเบื้องต้นทางพนักงานสอบสวนได้ให้ทางกองพิสูจน์หลักฐานมาทำการเก็บรอยนิ้วมือแฝง รวมทั้งเส้นผม และคราบเลือดที่อยู่ภายในรถไปทำการตรวจ นอกจากนี้จากการตรวจสอบภายในรถพบเอกสารใบรายงานผลการเรียนของโรงเรียนฐานปัญญา ระบุชื่อ นายชลวิทย์ หิรัญชัชวาลย์ และมีนางหงส์ แซ่ลี้ อายุ 81 ปี อยู่บ้านเลขที่ 84/1 หมู่ 2 แขวงบางขุนเทียน เขตจอมทอง เป็นเจ้าของรถ ในส่วนภาพวงจรปิดในวันเกิดเหตุนั้น เจ้าหน้าที่ทราบเพียงว่าหลังเกิดรถคันดังกล่าวมุ่งหน้าลงด่านพระราม 2 แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่ารถคันดังกล่าวขึ้นมาจากด่านอะไร
  รองผกก.งานศูนย์ควบคุมจราจรด่วน 1 กก.2.บก.จร กล่าวอีกว่า ในส่วนของแนวทางการสอบสวนนั้น ทางพนักงานสอบสวนได้สอบพยานไปหลายปากแล้ว รวมทั้งได้เรียกเจ้าของอู่รถมาทำการสอบปากคำ โดยทางเจ้าของอู่ได้ให้การว่า รถคันดังกล่าวมีรถยกนำมาทิ้งไว้ที่อู่ซ่อมรถ และมีเจ้าของโทรศัพท์มาแจ้งให้ซ่อม รวมทั้งเมื่อวานนี้ทางพนักงานสอบสวนได้เรียก นายพงษ์ หิรัญชัชวาล ซึ่งเป็ยพ่อของนายชลวิทย์ มาทำการสอบปากคำ ซึ่งเบื้องต้น นายพงษ์ให้การว่า รถคันดังกล่าวเป็นของนางหงส์ จริง ซึ่งนางหงส์นั้นมีศักดิ์เป็นย่าของนายชลวิทย์และได้ซื้อให้นายชลวิทย์ขับ อย่างไรก็ตามในส่วนวันเกิดเหตุนั้นไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าบุตรชายเป็นคนขับจริงหรือไม่ เพราะจนถึงตอนนี้ยังไม่สามารถติดต่อบุตรชาย รวมทั้งนางหงส์ได้ ซึ่งล่าสุดทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการออกหมายเรียกทั้งสองให้เข้ามาทำการสอบปากคำซึ่งคาดว่าภายใน1-2 วันนี้ ทั้งสองจะเดินทางเข้าพบทางพนักงานสอบสวน..

กรมศุลฯจับขบวนการค้าสัตว์ป่าข้ามชาติ





กรมศุลกากร จับกุมแก๊งลักลอบขนตัวนิ่มส่งประเทศเพื่อนบ้าน มูลค่ากว่าล้านบาท ตรวจสอบพบลอบขนจากสงขลา มาเตรียมส่งออกฝั่งโขงจ.หนองคาย
เมื่อเวลา 14.00 น. วันนี้(26พ.ค.) ที่กรมศุลกากร นายนิมิตร แสงอำไพ ผอ.การส่วนสืบสวนปราบปราม 2 สำนักสืบสวนและปราบปราม กรมศุลกากร แถลงจับกุมสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทตัวนิ่ม รวมมูลค่ากว่าล้านบาท โดยนายนิมิตร กล่าวว่า สืบเนื่องจากการที่กรมศุลกากรมีนโยบายสำคัญในการเร่งรัดปราบปรามสกัดกั้น ป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำสัตว์ป่าหรือซากของสัตว์ป่า ภายใต้พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 และอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES)

โดยเมื่อวันที่ 25 พ.ค.2555 เวลาประมาณ 19.20 น. เจ้าหน้าที่ศุลกากรหน่วยปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็ว ส่วนสืบสวนปราบปราม 2 ได้นำกำลังเข้าสกัดจับกุมขบวนการค้าสัตว์ป่าข้ามชาติที่ลักลอบนำสัตว์ป่าฯที่ บริเวณปั๊มน้ำมันเอสโซ่ ถนนเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข 4 ฝั่งขาเข้ากรุงเทพมหานคร) ใกล้สี่แยกปฐมพร ต.หาดพันไกร อ.เมือง จ.ชุมพร และได้ทำการตรวจค้นรถกระบะโตโยต้าวีโก้ สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน กล 6544 สงขลา มีนายประชา ราหมาย อายุ 22 ปี เป็นคนขับรถ ภายในพบตัวนิ่มมีชีวิต หรือลิ่นชวา (MANIS JAVANICA) ซึ่งมีถิ่นกำเนิดที่ประเทศอินโดนีชัย บรรจุอยู่ในตะกร้าพลาสติก จำนวน 138 ตัว เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวไปทำการสอบปากคำ

สอบสวนนายประชา ให้การสารภาพว่า ได้ขนส่งตัวนิ่มจากอ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อนำไปส่งที่จ.หนองคาย โดยรับซื้อตัวนิ่มจากประเทศมาเลเซีย ในราคาเฉลี่ยตัวละ 2,000 บาท หากลักลอบนำส่งข้ามไปประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) จะขายได้ตัวละ 10,000 บาท และมีจุดหมายปลายทางที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหานำหรือพาของที่ยังไม่ได้เสียค่าภาษีหรือของต้องห้าม ของต้องกำกัด หรือของที่ยังไม่ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องเข้ามาในราชอาณาจักรหรือซื้อหรือรับไว้ด้วยประการใดๆ ซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร ข้อห้าม หรือข้อกำกัด อันเป็นความผิดตามมาตรา 27 และมาตรา 27 ทวิ แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 ประกอบมาตรา 16,17 แห่ง พ.ร.บ. ศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482, พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 และอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) เจ้าหน้าที่ฯ จึงได้ยึดของกลางพร้อมผู้ต้องหา โดยสัตว์ทั้งหมดนำส่งกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป..

รวบเดนคุกฆ่าข่มขืนชิงทรัพย์แม่เฒ่าวัย 74 ปี





ตำรวจจับทันควันเดนคุก เมาฆ่าข่มขืนแม่เฒ่าวัย 74 เจ้าของร้านขายของชำ ขณะย่องเข้าไปขโมยเหล้า แต่เหยื่อตื่นมาพบเลยก่อเหตุ สารภาพหน้าซื่อเมาถูกกัดมือเลยเผลอบีบคอตายก่อนข่มขืน
เมื่อเวลา 07.00 น. วันนี้(26พ.ค.) พ.ต.ต.ธีระวัฒน์ เหิงขุนทด สารวัตรเวร สภ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี รับแจ้งพบศพผู้เสียชีวิตในบ้านเลขที่ 47ถนนแก้วเสนา ชุมชนเกตุแก้ว ต.วารินชำราบ รุดไปตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ศรีบุตตะ ผกก. พ.ต.ท.ชินโชติ พึ่งแสง รอง ผกก.สส. พ.ต.ท.อัครพล รัศมีสว.สส. ที่เกิดเหตุเป็นร้านขายของชำ พบศพนางบุญล้อม มรดก อายุ 74 ปี เจ้าของบ้านนอนเสียชีวิตอยู่บนเตียงนอนด้านหลังร้าน สภาพศพมีร่องรอยถูกบีบคอจนเป็นรอยฟกช้ำ และร่องรอยการถูกข่มขืน อีกทั้งยังพบคราบอสุจิเปื้อนบริเวณอวัยวะเพศของผู้ตาย ส่วนที่หัวเตียงนอนและบริเวณชั้นวางของในร้านมีร่องรอยของการรื้อค้นกระจัดกระจาย จึงมอบให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานมาเก็บหารอยนิ้วมือแฝงของคนร้าย ก่อนส่งศพไปให้แพทย์นิติเวชผ่าชันสูตร เบื้องต้นแพทย์ลงความเห็นการเสียชีวิตจากขาดอากาศหายใจ และถูกข่มขืน


สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า เมื่อเวลาประมาณ 20น.เศษของเมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา มีผู้เห็น นายยุทธนา หรือหน่อย นิลดา อายุ 38 ปี พักอยู่บ้านเลขที่ 63/3 ชุมชนบ้านมั่นคง ต.วารินชำราบ ซึ่งอยู่ในละแวกเดียวกับที่เกิดเหตุ มาป้วนเปี้ยนอยู่หลายรอบ จนมาพบผู้เสียชีวิตดังกล่าว พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ จึงนำกำลังเข้าตรวจค้นภายในบ้าน นายยุทธนา พบนอนหลับอยู่บนเตียง และที่กางเกงขาสั้นที่นายยุทธนาสวมใส่มีรอยเลือด ใกล้กันยังพบขวดสุราขาว 40 ดีกรี 2 ขวดบุหรี่ยี่ห้อหนึ่ง ที่คาดว่านำมาจากร้านของคนตาย จึงควบคุมตัวมาสอบสวน นายยุทธนาให้การรับสารภาพว่า ก่อนเกิดเหตุนั่งดื่มเหล้าขาวกับเพื่อนคนงานก่อสร้างเมื่อเหล้าหมดได้มาที่ร้านของคนตายเพื่อขอซื้อเหล้าไปดื่มต่อ พบว่าร้านปิดจึงแอบปีนเข้าไปหลังร้านและพบผู้ตายที่อยู่บ้านคนเดียวตื่นขึ้นมาพบ จึงใช้มือบีบไปที่ลำคอและถูกคนตายกัดนิ้วมือ ทำให้ออกแรงบีบคออย่างแรงจนแน่นิ่งไป จากนั้นด้วยความเมาจึงทำการข่มขืนศพไป 2 ครั้ง ก่อนรื้อค้นได้เงินสด 20,000 บาทสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท 1 เส้น และคว้าเอาเหล้าขาวกับบุหรี่หลบหนีออกมา ก่อนไปเที่ยวตามแหล่งบันเทิงในตัวจังหวัด กระทั่งกลับมานอนพักจนถูกเจ้าหน้าที่ตามมาจับตัวไว้ได้


จากการตรวจสอบประวัติผู้ต้องหาในทะเบียนอาชญากรรมของเจ้าหน้าที่ พบว่าเคยก่อคดีลักทรัพย์มากว่า 10 ครั้ง ล่าสุดศาลตัดสินให้จำคุกเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือนเพิ่งพ้นโทษออกมาได้เพียงเดือนเศษก็มาก่อเหตุขึ้นอีก เบื้องต้นได้ตั้งข้อหาข่มขืนกระทำชำเราหญิงที่มิใช่ภรรยา และฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา ก่อนคุมตัวดำเนินคดีต่อไป..