วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ที่ประชุมอสส.มีมติไม่ยื่นเรื่องศาลรธน.วินิจฉัยตามม. 68





 วันนี้(7  มิ.ย. )ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ นายวินัย ดำรงค์มงคลกุล โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณียื่นศาลรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ที่ใช้เวลานาน 5  ชั่วโมง ว่า ตามที่บุคคลและคณะบุคคล รวม 6 ราย คือ นายวันธงชัย ชำนาญกิจ ,นายบวร ยสินทร กับพวกกลุ่มราษฎรอาสาปกป้อง ๓ สถาบัน ,นายวรินทร์ เทียมจรัส , พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กับพวก ,นายวิรัตน์ กัลยาศิริ กับพวก , และพล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม กับพวกสมาชิกวุฒิสภา  ได้มีหนังสือส่งเอกสารหลักฐานให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการตามมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 กรณีคณะรัฐมนตรี พรรคร่วมรัฐบาล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ประธานรัฐสภา ได้ร่วมกันเสนอ รับพิจารณา และลงมติให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่....) พุทธศักราช.... ซึ่งกำหนดให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาเพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยการเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 หมวด 16 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งมีผลเป็นการยกเลิกหรือล้มล้างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 อันเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 68 นั้น คณะกรรมการ ฯ เห็นว่ารัฐธรรมนูญกำหนดให้อัยการสูงสุดเป็นผู้มีอำนาจตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว รวมทั้งให้อำนาจอัยการสูงสุดในการที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงและวินิจฉัยถึงการกระทำดังกล่าวว่าเป็นการกระทำที่ต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 หรือไม่ด้วย เพื่อมิให้อัยการสูงสุดใช้อำนาจกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลหรือพรรคการเมืองที่รัฐธรรมนูญให้ความคุ้มครอง

นายวินัย กล่าวอีกว่า ขณะที่เมื่อพิจารณาการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของรัฐสภา แล้วเห็นว่าเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยอาศัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในหมวด 15 เกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ  และบทเฉพาะกาล ไม่ใช่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญที่บัญญัติไว้ในหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย จึงไม่ใช่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพตามมาตรา 68 และจากการตรวจสอบเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่....) พุทธศักราช.... ทั้งสามฉบับ ปรากฏว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291/11 ทั้งสามฉบับ มีข้อความเหมือนกัน โดยวรรคห้าบัญญัติว่าการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐจะกระทำมิได้  จึงเห็นได้ว่าการเสนอขอแก้ไขรัฐธรรมนูญของผู้ถูกร้อง ไม่ได้มีเจตนาหรือต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นอกจากนี้ ร่างรัฐธรรมนูญทั้งสามฉบับไม่ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิก มาตรา 291

“การที่คณะรัฐมนตรีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคการเมืองหลายพรรค  เสนอขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ตามมาตรา 291 จึงไม่มีเนื้อหาเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ กรณีตามคำร้องของผู้ร้องทั้งหก ข้อเท็จจริงยังไม่พอฟังว่ามีพฤติการณ์หรือการกระทำอันเป็นเหตุให้อัยการสูงสุดต้องยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกกระทำการตามความในมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550”

ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่อัยการสูงสุดมีความเห็นไม่ส่งเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ  รัฐสภาจะต้องยึดความเห็นขององค์กรไหน นายวินัย กล่าวว่า การดำเนินการต่อไปขององค์กรอื่นอัยการสูงสุดไม่ได้พิจารณา ส่วนที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำวินิจฉัยของบุคคลและคณะบุคคลไว้ก่อนหน้านี้ จะทำให้ประชาชนสับสนหรือไม่นั้น อัยการขอไม่ก้าวล่วงอำนาจขององค์กรอื่น  เราดำเนินการเฉพาะอำนาจหน้าที่ของอัยการสูงสุดเท่านั้น

เมื่อถามว่า หากรัฐสภาจะดำเนินการเรียกประชุมเพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญในวาระ 3 โดยอ้างความเห็นของอัยการสูงสุด จะสามารถทำได้หรือไม่ นายวินัย กล่าวว่า การพิจารณาของอัยการสูงสุดเป็นเพียงความเห็นหนึ่งเท่านั้น การดำเนินการของรัฐสภาก็เป็นเรื่องกรอบอำนาจของรัฐสภา  เราไม่ก้าวก่ายอำนาจขององค์กรอื่น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น