วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555

วสท.นำจนท.ตรวจถนนพระราม4ทรุดตัว







ผู้เชี่ยวชาญจากวิศวกรรมสถาน แห่งประเทศไทย พร้อมเจ้่าหน้าที่หลายหน่วยงาน เข้าตรวจสอบถนนพระราม 4 บริเวณใกล้แยกวิทยุ เพื่อตรวจหาสาเหตุถนนทรุดตัวก่อนหน้านี้

วันนี้ (21 เม.ย.) เวลา 22.20 น. รศ.ดร.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ ผู้เชี่ยวชาญจากวิศวกรรมสถาน แห่งประเทศไทย (วสท.) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากสำนักงานเขตปทุมวัน สำนักงานเขตสาทร สำนักโยธาเขตปทุมวันและเขตสาทร สำนักระบายน้ำกทม. และการประปานครหลวง รวมทั้งสิ้น 50 นาย นำเครื่องจักร อาทิ รถแบ็คโฮมาขุดเจาะตรวจพื้นผิวถนนพระราม 4 บริเวณสีแยกวิทยุหลังจากก่อนหน้านี้ได้เกิดเหตุถนนทรุดตัว
 
ดร.สุทธิศักดิ์ กล่าวว่า ตนได้ประสานเจ้าหน้าที่เพื่อขอทำการปิดการจราจรบริเวณดังกล่าวตั้งแต่เวลา 22.00 น.วันเดียวกันถึงเวลา 04.00 น. ของวันที่ 22 เม.ย. เพื่อเจาะพื้นผิวถนนเพื่อตรวจสอบหาสาเหตุของถนนทรุด โดยตนจะตรวจสอบในระดับความลึก 1 เมตรเพื่อตรวจดูระบบการวางท่อประปา จากนั้นก็จะเจาะลงไปลึกอีก 2 เมตรจากพื้นผิวเพื่อตรวจสอบท่อระบายน้ำ หลังพบว่ามีน้ำไหลตามท่อระบายน้ำจุดนี้เป็นจำนวนมาก โดยในแต่ละจุดจะใช้เจ้าหน้าที่ลงไปสำรวจเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง หากตรวจพบก็จะดำเนินการแก้ไขโดยเร็ว อย่างไรก็ตามหากไม่เสร็จตามระยะเวลาที่กำหนดไว้เบื้องต้น ก็คงต้องดำเนินการต่อภายหลัง
ผู้เชี่ยวชาญจากวิศวกรรมสถาน แห่งประเทศไทย กล่าวอีกว่า สำหรับเหตุถนนทรุดที่บริเวณถนนพระราม 3 นั้นพบว่าเป็นการทรุดตัวของพื้นดินทำให้ท่อประปาแตก รวมทั้งในพื้นที่พญาไทก็พบว่าเป็นการบกพร่องเรื่องการซ่อมแซม อย่างไรก็ตามเตรียมที่จะเสนอแบบในการก่อสร้างต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่จะไม่ก่อให้เกิดปัญหา ในลักษณะดังกล่าวอีก.

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

ม็อบอุ่นเครื่องหน้ากองทัพบก ดึงทหารเอี่ยวการเมือง




กลุ่มเรียกคืนอำนาจนักการเมืองเนรคุณแผ่นดินชุมนุมเบาๆ 150 คน หน้าสโมสรกองทัพบก ก่อนเคลื่อนขบวนไปหน้ากองทัพบกถนนราชดำเนิน ยันไม่ยื้ดเยื้อยื่นหนังสือเสร็จพร้อมสลาย 20.00 น.

วันนี้ (21 เม.ย. ) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มเรียกคืนอำนาจนักการเมืองเนรคุณแผ่นดิน  150 คน เดินทางมาร่วมชุมนุมหน้าสโมสรกองทัพบก  โดยนำรถบรรทุกหกล้อติดตั้งเครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่ดัดแปลงเป็นเวทีปราศรัยบนช่องทางด้านซ้ายสุดของถนนวิภาวดีฝั่งขาออก ทำให้ทหารที่ดูแลรักษาการณ์ต้องนำรั้วลวดหนามมากั้นทางเข้าออกป้องกันไม่ให้ผู้ชุมนุมเข้าไปในกองทัพบก  ส่งผลให้การจราจรถนนวิภาวดีรังสิตขาออกจากดินแดงมุ่งหน้าแยกสุทธิสาร ติดขัด  โดยมีตำรวจจราจร สน.สุทธิสารและ สน.วิภาวดีเร่งระบายรถอำนวยความสะดวกผู้สัญจร
นายพายัพ ยังปักษี แกนนำกลุ่มสมาพันธ์พลเมืองฐานราก กล่าวว่า เหตุที่ต้องมาชุมนุมหน้าสโมสรทหารบก เพราะต้องการให้ทหารสนับสนุนประชาชน เรียกร้องสิทธิในทรัพยากรของชาติกลับคืนมา
พล.ต.ต.สำเริง สุวรรณพงษ์ ผบก.น. 2 กล่าวว่า ได้จัดวางกำลังตำรวจ 1 กองร้อย จำนวน 150 นายดูแลความเรียบร้อยบริเวณด้านหน้าสโมสรกองทัพบก ส่วนพื้นที่ภายในสโมสรกองทัพบก อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของทหาร ขอร้องให้กลุ่มผู้ชุมนุมอย่าใช้พื้นที่ผิวจราจร จนกีดขวางเส้นทางเดินรถ เชื่อว่าการชุมนุมจะใช้เวลาไม่นาน
ต่อมาเวลา 13.00 น. ผู้ชุมนุมได้สลายตัวจากหน้าสโมสรกองทัพบกย้ายไปที่กองทัพบก ถนนราชดำเนินแทน โดยนำรถบรรทุกหกล้อติดตั้งเครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่ดัดแปลงเป็นเวทีปราศรัยในช่องทางด้านซ้ายสุด  ท่ามกลางการดูแลรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่บก.น.1 แต่เนื่องจากบริเวณดังกล่าวรถน้อย จึงไม่ส่งผลกระทบต่อการจราจร
พ.ต.ต. ภูดิศกุล สารภักดิ์ สวป.สน.นางเลิ้ง เปิดเผยว่า พล.ต.ต.พชร  บุญญสิทธิ์ ผบก.น.1 สั่งการ สน.นางเลิ้งดูแลรักษาความเรียบร้อย โดยจัดกำลัง 100 นาย กระจายกำลังรอบพื้นที่ชุมนุม จากการสอบถามแกนนำผู้ชุมนุมจะไม่ชุมนุมยืดเยื้อ ในเวลา 20.00 น.เมื่อยื่นหนังสือเรียกร้องผู้บัญชาการทหารบก โดยผ่านทหารเวรประจำการแล้วจะสลายการชุมนุมทันที

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th.

“ปู”ปลื้มประชุมลุ่มน้ำโขง ปิดฉากสวยที่ญี่ปุ่น



วันนี้ (21 เม.ย.) ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขงว่า การประชุมครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จด้วยดี มีการรับรองยุทธศาสตร์โตเกียว เป็นแผนปฏิบัติการที่ประเทศญี่ปุ่นจะทำงานร่วมกับประเทศในลุ่มน้ำโขงทั้งหมดเป็นเวลา 3 ปี แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวมี 3 เสาหลัก เสาหลักแรก คือ การส่งเสริมความเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานของกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง ซึ่งญี่ปุ่นให้ความสำคัญในการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคม เสาหลักที่ 2 คือการพัฒนาร่วมกัน ซึ่งญี่ปุ่นมองการพัฒนา จะเป็นทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจการค้า การลงทุน รวมถึงนโยบายที่ส่งเสริมภายในภูมิภาคกับประเทศทั่วโลก และเสาหลักที่ 3 คือ การให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิตสตรีและเด็ก ปัญหาภัยพิบัติ และความมั่นคงทางอาหาร

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวจะมอบหมายให้ผู้เกี่ยวข้องไปดำเนินการภายในระยะเวลา 3 ปี สำหรับประเทศไทยแสดงเจตจำนงเห็นด้วยกับแนวทางการพัฒนาประเทศลุ่มน้ำโขงร่วมกับญี่ปุ่น ซึ่งไทยให้ความสำคัญและจะสนับสนุนการลงทุน ในเรื่องเศรษฐกิจตามเส้นทางฝั่งตะวันออก-ฝั่งตะวันตก และการพัฒนาแนวพื้นที่เศรษฐกิจทางใต้ ซึ่งได้เชิญชวนญี่ปุ่นเข้ามาร่วมลงทุน โดยเฉพาะการพัฒนาท่าเรือน้ำลึก และนิคมอุตสาหกรรมทวายของพม่า และบรรจุแผนการพัฒนาเส้นทางคมนาคมเชื่อมต่อแนวชายแดนไทย-พม่า เข้าไว้ในแผนงบประมาณแล้ว และยังเสนอให้มีการฝึกอบรมให้ความรู้ทางด้านเทคนิคกับกลุ่มบริษัทธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการให้งบประมาณสนับสนุนประเทศลุ่มน้ำโขง 77 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 22 ล้านล้านบาทด้วยว่า ส่วนใหญ่จะเป็นการศึกษาทางด้านเทคนิคร่วมกัน การฝึกอบรมเอสเอ็มอีของกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อรองรับการเปิดประตูสู่ประชาคมอาเซียน ซึ่งต้องแน่ใจว่ากลุ่มเอสเอ็มอีมีความพร้อมในการแข่งขัน.
 
แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

ปชป.ชนะเพื่อไทย เลือกซ่อม ส.ส.ปทุมฯเขต 5



วันนี้ (21 เม.ย.) เวลา 18.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการนับผลคะแนนการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการของผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร (ส.ส.) เขต 5 จ.ปทุมธานี ว่า มีประชาชนจำนวนมากเดินทางมาติดตามผลการนับคะแนนในครั้งนี้ โดยผู้สมัครเบอร์ 1 นายสมชาย รังสิวัฒนศักดิ์ จากพรรคเพื่อไทย ได้คะแนนอย่างไม่เป็นทางการ จำนวน 24,119 คะแนน ดร.เกียรติศักดิ์ ส่องแสง ผู้สมัครเบอร์ 2 จากพรรคประชาธิปัตย์ ได้ 27,981 คะแนน และนายณรงค์ชัย ปัญญานนทชัย ผู้สมัครเบอร์ 3 จากพรรคไทยมหารัฐพัฒนา ได้ 347 คะแนน ทำให้ดร.เกียรติศักดิ์ ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ทำคะแนนทิ้งห่างนายสมชาย จากพรรคเพื่อไทย ไปกว่า 3,000 คะแนน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แหล่งข่าวแกนนำคนเสื้อแดง จ.ปทุมธานี รายหนึ่งเปิดเผยว่า สาเหตุที่นายสมชาย พ่ายแพ้ต่อนายดร.เกียรติศักดิ์นั้น เนื่องจากที่ผ่านมาประชาชนชาว อ.ลำลูกกา ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งโดยเฉพาะคนเสื้อแดงลำลูกกาที่มีจำนวนมาก ไม่มีใครรู้จักนายสมชาย ประกอบกับนายสมชายมีเวลาในการหาเสียงน้อยมากหากเทียบกับดร.เกียรติศักดิ์ที่ลงพื้นที่หาเสียงมาอย่างต่อเนื่องในช่วงน้ำท่วมและประชาชนก็ได้เห็นผลงานมาโดยตลอด นอกจากนี้ในช่วงวิกฤติมหาอุทกภัยเมื่อปลายปี 54 ที่ผ่านมา ไม่เคยเห็น ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยลงมาดูแลความเดือดร้อนของชาวบ้านว่าได้รับความลำบากมากเพียงใดในช่วงเวลาดังกล่าว คาดว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้อย่างย่อยยับในครั้งนี้.

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

นายกฯปู”ท่องแดนปลาดิบก่อนบินกลับไทย



วันนี้ (21 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับภารกิจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในวันอาทิตย์ที่ 22 เม.ย.ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการเดินทางเข้าร่วมประชุมลุ่มน้ำโขงที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นนั้น ในช่วงเช้านายกรัฐมนตรีมีกำหนดการเดินทางโดยเครื่องบินจากท่าอากาศยานฮาเนดะ กรุงโตเกียวไปยังท่าอากาศยานนานาชาติฟูกูโอกะ จากนั้นเดินทางไปรับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับการดำเนินงานของรถไฟชินกันเซนและระบบความปลอดภัย หลังจากนั้นนายกฯ จะไปเยี่ยมชมสินค้าและผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปจากวัตถุดิบท้องถิ่นและขึ้นรถไฟชินกันเซน จากสถานีต้นทางในเกาะคิวชู เดินทางไปยังสถานีคุมาโมโต จังหวัดคุมาโมโต ก่อนที่จะเดินทางโดยรถยนต์ไปเดินชมสินค้าพื้นเมือง และพิพิธภัณฑ์ที่โจไซ เอน เมื่อเสร็จภารกิจนายกรัฐมนตรี จะเข้าร่วมงานเลี้ยงรับรอง ก่อนเดินทางกลับถึงประเทศไทยและเดินทางถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในเวลา 23.20 น.

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

เสื้อแดงสระแก้วชุมนุมหนุนแก้รธน.







เสื้อแดงสระแก้วชุมนุมใหญ่หนุนแก้รธร.โจมตีประชาธิปัตย์ เรียกร้อง"ทักษิณ"กลับบ้าน
วันนี้ (21 เม.ย.) เวลา 21.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าว กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ประมาณ 1,000 คน ได้เดินทางมาชุมนุมที่บริเวณสนามเอกชน ในเขตเทศบาลตำบลท่าเกษม อ.เมือง จ.สระแก้ว ห่างจากศาลากลางจังหวัดสระแก้วประมาณ 1 กม. มีนางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธานนปช. และแกนนำนปช. อาทิ นายนิสิต สินธุไพร นายขวัญชัย ไพรพนา นายสมหวัง อัสราษี นายชินวัตร ถาบุญมาก และนักร้องดัง รังสี เสรีชัย หรือทอมดันดี สลับขึ้นเวทีปราศรัยโจมตีพรรคประชาธิปัตย์และสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญอย่างเข้มข้น สลับกับการร้องเพลง พร้อมเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีกลับประเทศไทยโดยเร็ว
 
นางธิดา ให้สัมภาษณ์ว่า ได้จัดชุมนุมคนเสื้อแดงเพื่อต้องการรวมพลังสร้างความเข้มแข็ง และความสามัคคี ส่วนเรื่องความปรองดองคงเป็นไปได้ยากถ้าทุกฝ่ายยังคิดว่าได้เปรียบเสียเปรียบและมองใครผิดใครถูกกันอยู่ ดูแล้วเป็นเรื่องน่าหนักใจ พรรคการเมืองนำศักดิ์ศรีมาเล่นกันจนป่นปี้ทำให้แนวทางการปรองดองเกิดขึ้นยาก กลุ่มคนเสื้อแดงจะเดินหน้ารวมพลังกันต่อไปและเดินสายชุมนุมไปทั่วประเทศ.

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

เมื่อถนน "ปรองดอง" ตัดผ่าน "บ้านสี่เสา" ทางกลับบ้านที่ "ทักษิณ" สร้างเองกับมือ


“การเสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดองเข้าสู่สภาจะทำได้เมื่อใดนั้น ถ้าเป็นไปได้ เราก็อยากทำให้เร็ว แต่ไม่ได้ขีดเส้นยึดติดว่าต้องทำเสร็จภายใน 3-4 เดือน เพียงแต่ต้องดูบรรยากาศทางการเมือง จังหวะเวลาที่เหมาะสมโดยในวันที่ 26 เม.ย.เวลา 15.30 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผม นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และ รมว.คลัง และพล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกฯ จะได้เดินทางไปรดน้ำขอพร พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งก็อาจจะขอถือโอกาสนี้ได้กราบเรียนขอคำปรึกษาและคำแนะนำเกี่ยวกับการสร้างความปรองดองในชาติให้เกิดขึ้นด้วย”

นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (ปคอป.)ให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา

การเข้าพบเพื่อ ’รดน้ำ“ จาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ถือเป็นเรื่องปกติของแทบจะทุกรัฐบาลในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาพึงทำกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งรัฐบาลภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่หากนับตั้งแต่หลังการรัฐประหารวันที่ 19 ก.ย. 49 ภายหลังชัยชนะของพรรคพลังประชาชนที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ให้การสนับสนุน อาการ “เหินห่าง” ระหว่างรัฐบาลที่มี พ.ต.ท.ทักษิณให้การสนับสนุนกับผู้อาศัยภายในบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ก็มี “ช่องว่าง” มากขึ้น

ยิ่งเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองในช่วงปี 52-53 ยิ่งชัดเจนว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ และเครือข่ายกับพล.อ.เปรมนั้น “รุนแรง” ขึ้นตามลำดับ ผ่านคำพูดมากมายในโอกาสต่าง ๆ อาทิ ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ผู้อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร เรื่อยไปจนกระทั่งเกิดการ “ขับไล่” ให้พ้นจากตำแหน่งซึ่งเป็นเงื่อนไขหนึ่งของการเรียกร้องในครั้งนั้น

แต่ “สัญญาณ” ล่าสุดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ส่งออกมาท่ามกลางเครือข่ายระหว่างร่วมงาน “สงกรานต์” ที่ประเทศกัมพูชา ด้วยการปฏิเสธการเป็น “คู่กรณี” หรือมีความขัดแย้งใด ๆ กับ พล.อ.เปรม

“สัญญาณ” ที่ว่าเมื่อมาประกอบกับภาพรดน้ำของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.และภาพการพบกันถึง 2 ครั้งระหว่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ กับ พล.อ.เปรม ยิ่งเป็น “สัญญาณ” ที่สะท้อนถึงความเคลื่อนไหวเพื่อนำไปสู่การปรองดองซึ่งกำลัง “ตั้งเค้า” ขึ้นมาได้เป็นอย่างดี

แม้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้พูดว่าจะ “ทำตาม” ข้อเสนอของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ อดีตรองนายกฯ ที่เสนอให้ทั้งสองคนคุยกันเพื่อสร้าง “บรรยากาศ” ของการปรองดองให้ดีขึ้น แต่ การกระทำย่อมมีความหมายมากกว่า คำพูด มากมายนัก

หรือนี่จะใช่กระบวนการสร้างความปรองดองในความหมายที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการให้เกิดขึ้นหรือไม่

เชื่อว่า “ภาพดังกล่าว” จะเป็นที่รับรู้ของสาธารณชนวงกว้างและจะนำไปสู่การ “ตีความ” ต่าง ๆ นานาต่อไป จะเป็นผลดีหรือเป็นผลเสียอย่างไรนั้น เป็นเรื่องยากจะประเมิน แต่อย่าลืมว่า ความปรองดองที่ทุกฝ่ายต้องการให้เกิดขึ้นนี้ เป็นการต่อสู้กันระหว่าง

ฝ่ายหนึ่งคือเสียงข้างมาก กับอีกฝ่ายคือเสียงข้างน้อย

“เสียงข้างมาก” วันนี้สามารถ “ควบคุม” ปัจจัยที่เอื้ออำนวยทางการเมืองไว้ได้จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการ “จัดวาง” ฐานกำลังทางการเมืองผ่านการแต่งตั้งโยกย้ายทั้งราชการทั้งรัฐวิสาหกิจในระดับต่าง ๆ การควบคุมกลไกอย่างตำรวจไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ ขณะเดียวกันความที่เป็นรัฐบาลที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกฯ แม้จะยังไม่มีความชัดเจนจนเป็นที่ยอมรับในผลงาน มิหนำซ้ำนับวันปัญหา “สารพัดของแพง” ก็จะยิ่งสร้างคำถามและความนิยมให้กับรัฐบาลมากขึ้น แต่ด้วยการวางยุทธศาสตร์ที่เน้นการ “อยู่ห่าง” ทางการเมือง ประกอบกับรูปลักษณ์ที่สวยงาม อย่างน้อยก็ยังสร้างความรู้สึกได้ว่า ไม่เข้ามาเล่นการเมืองแต่มุ่งตั้งใจแก้ปัญหามากกว่า เพราะอย่างน้อยการไม่ได้ทำ กับการทำแล้วไม่ได้ ย่อมแตกต่างกัน

ยิ่งในรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วย ส.ส. และ ส.ว. ยิ่งชัดเจนว่า “เสียงข้างมาก” ควบคุมเบ็ดเสร็จ ดังจะเห็นได้จากการผ่านรายงานการสร้างความปรองดองแห่งชาติ หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เพื่อให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ ส.ส.ร.เพื่อมายก
ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่

ขณะที่ “เสียงข้างน้อย” แม้วันนี้จะอยู่ในฝ่ายที่ “เสียเปรียบ” แต่ด้วยจุดยืนที่ว่าต้องการสนับสนุนให้เกิดกระบวนการปรองดองเช่นกัน แต่กระบวนการนั้นต้องเป็นไปตาม “หลักการ” นั่นคือ อะไรก็ตามที่ศาลตัดสินไปแล้วต้องอยู่อย่างนั้น “ยกเลิก” หรือเปลี่ยนแปลงไม่ได้ จนกว่าผู้กระทำจะยอมรับโทษเสียก่อน

สถานการณ์วันนี้ “เสียงข้างน้อย” นอกสภาอย่างกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่นำโดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ออกมาแล้ว และมี “จุดยืน” ที่ไม่แตกต่างกัน เพียงแต่กลุ่มพันธมิตรฯ นั้นไปไกลด้วยการประกาศจะเดินหน้า “ปฏิรูปประเทศไทย” ขึ้นมาแทนที่

จำนวนมากหรือจำนวนน้อย ที่แต่ละฝ่ายมีอยู่ในวันนี้อาจจะไม่ใช่ “ตัวตัดสิน” เพราะหากมองกันให้ดี ๆ จะพบว่า ยังมี “พลังเงียบ” หรือคนส่วนมากที่พร้อมจะแสดงออกอีกจำนวนมาก หากการปรองดองนั้นเป็นการปรองดองเพียงเพื่อให้ “คนใดคนหนึ่ง” ได้รับผลหรือ “ลบล้างความผิด” ในครั้งนี้

การช่วงชิง “มวลชน” ที่อยู่ตรงกลาง จึงทำให้ทั้งสองฝ่ายเคลื่อนไหวกันอย่างคึกคัก

ที่น่าสนใจอยู่ตรงที่ว่า ตราบใดที่ยังไม่มีการออกกฎหมายปรองดอง หากใครคนหนึ่งคนใดหรือกลุ่มใดกระทำการหรือมีการชุมนุมจนถึงขั้นรุนแรงเหมือนอย่างที่ผ่าน ๆ มา และนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งอย่างใด จะเข้าเงื่อนไขนำไปสู่ความปรองดองอย่างที่ถกเถียงกันอยู่ในตอนนี้หรือไม่ และหากมีการ “เสียชีวิต” จะได้รับการเยียวยาเหมือนอย่างที่กำลังจะถูกเยียวยาอยู่ในเร็ว ๆ นี้หรือไม่

เพราะมองว่า หากการปรองดองคือเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องลืม ๆ กันไปแล้วเริ่มต้นใหม่โดยไม่สนใจที่จะค้นหาความจริงเพื่อหาทางป้องกันและแก้ไข การปรองดองก็ไม่ต่างอะไรกับเทศกาลที่ทำกันภายหลังเกิดความรุนแรงทางการเมือง

ดังนั้น ความเคลื่อนไหวของเสียงข้างมากอย่างรัฐบาลพรรคเพื่อไทย และการเคลื่อนไหวของเสียงข้างน้อยอย่างกลุ่มพันธมิตรฯ ล้วนมี “ทิศทาง” ที่ไปในลักษณะมุ่งเข้าหามวลชน เพื่อความเข้าใจ เพื่อสร้าง “ชุดข้อมูลใหม่” ให้เกิดขึ้น

ฉะนั้น “บันไดขั้นที่ 2” ของการปรองดองเพื่อนำ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงมี “ปัจจัย” ของการยอมรับจากมวลชนเป็นฐานสำคัญ

ต่างฝ่ายจึงต่างต้องแสดงท่าที โดยมี “มวลชน” ซึ่งก็คือคนส่วนใหญ่ในสังคมเป็นผู้ตัดสินว่าจะให้ “ทุกอย่าง” กลับไปก่อนเหตุการณ์วันที่ 19 ก.ย. 49 เหมือนอย่างที่ “เสียงข้างมาก” กำลังทำอยู่ในตอนนี้ หรือ ปล่อยให้ทุกอย่างเดินต่อไป แต่ควรจะต้องแยกแยะให้ได้ว่า อะไรถูกหรืออะไรผิด ใครถูกหรือใครผิด ใครควรได้รับการให้อภัย หรือใครควรได้รับการลงโทษ โดยทั้งหมดเป็นไปตามหลัก “กฎหมายไทย”

การเผชิญหน้ากันในระยะนี้ จึงเป็นแค่ ’สงครามเย็น“ เท่านั้นเอง.

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th