วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555

เมื่อถนน "ปรองดอง" ตัดผ่าน "บ้านสี่เสา" ทางกลับบ้านที่ "ทักษิณ" สร้างเองกับมือ


“การเสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดองเข้าสู่สภาจะทำได้เมื่อใดนั้น ถ้าเป็นไปได้ เราก็อยากทำให้เร็ว แต่ไม่ได้ขีดเส้นยึดติดว่าต้องทำเสร็จภายใน 3-4 เดือน เพียงแต่ต้องดูบรรยากาศทางการเมือง จังหวะเวลาที่เหมาะสมโดยในวันที่ 26 เม.ย.เวลา 15.30 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผม นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และ รมว.คลัง และพล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกฯ จะได้เดินทางไปรดน้ำขอพร พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งก็อาจจะขอถือโอกาสนี้ได้กราบเรียนขอคำปรึกษาและคำแนะนำเกี่ยวกับการสร้างความปรองดองในชาติให้เกิดขึ้นด้วย”

นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (ปคอป.)ให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา

การเข้าพบเพื่อ ’รดน้ำ“ จาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ถือเป็นเรื่องปกติของแทบจะทุกรัฐบาลในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาพึงทำกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งรัฐบาลภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่หากนับตั้งแต่หลังการรัฐประหารวันที่ 19 ก.ย. 49 ภายหลังชัยชนะของพรรคพลังประชาชนที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ให้การสนับสนุน อาการ “เหินห่าง” ระหว่างรัฐบาลที่มี พ.ต.ท.ทักษิณให้การสนับสนุนกับผู้อาศัยภายในบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ก็มี “ช่องว่าง” มากขึ้น

ยิ่งเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองในช่วงปี 52-53 ยิ่งชัดเจนว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ และเครือข่ายกับพล.อ.เปรมนั้น “รุนแรง” ขึ้นตามลำดับ ผ่านคำพูดมากมายในโอกาสต่าง ๆ อาทิ ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ผู้อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร เรื่อยไปจนกระทั่งเกิดการ “ขับไล่” ให้พ้นจากตำแหน่งซึ่งเป็นเงื่อนไขหนึ่งของการเรียกร้องในครั้งนั้น

แต่ “สัญญาณ” ล่าสุดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ส่งออกมาท่ามกลางเครือข่ายระหว่างร่วมงาน “สงกรานต์” ที่ประเทศกัมพูชา ด้วยการปฏิเสธการเป็น “คู่กรณี” หรือมีความขัดแย้งใด ๆ กับ พล.อ.เปรม

“สัญญาณ” ที่ว่าเมื่อมาประกอบกับภาพรดน้ำของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.และภาพการพบกันถึง 2 ครั้งระหว่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ กับ พล.อ.เปรม ยิ่งเป็น “สัญญาณ” ที่สะท้อนถึงความเคลื่อนไหวเพื่อนำไปสู่การปรองดองซึ่งกำลัง “ตั้งเค้า” ขึ้นมาได้เป็นอย่างดี

แม้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้พูดว่าจะ “ทำตาม” ข้อเสนอของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ อดีตรองนายกฯ ที่เสนอให้ทั้งสองคนคุยกันเพื่อสร้าง “บรรยากาศ” ของการปรองดองให้ดีขึ้น แต่ การกระทำย่อมมีความหมายมากกว่า คำพูด มากมายนัก

หรือนี่จะใช่กระบวนการสร้างความปรองดองในความหมายที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการให้เกิดขึ้นหรือไม่

เชื่อว่า “ภาพดังกล่าว” จะเป็นที่รับรู้ของสาธารณชนวงกว้างและจะนำไปสู่การ “ตีความ” ต่าง ๆ นานาต่อไป จะเป็นผลดีหรือเป็นผลเสียอย่างไรนั้น เป็นเรื่องยากจะประเมิน แต่อย่าลืมว่า ความปรองดองที่ทุกฝ่ายต้องการให้เกิดขึ้นนี้ เป็นการต่อสู้กันระหว่าง

ฝ่ายหนึ่งคือเสียงข้างมาก กับอีกฝ่ายคือเสียงข้างน้อย

“เสียงข้างมาก” วันนี้สามารถ “ควบคุม” ปัจจัยที่เอื้ออำนวยทางการเมืองไว้ได้จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการ “จัดวาง” ฐานกำลังทางการเมืองผ่านการแต่งตั้งโยกย้ายทั้งราชการทั้งรัฐวิสาหกิจในระดับต่าง ๆ การควบคุมกลไกอย่างตำรวจไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ ขณะเดียวกันความที่เป็นรัฐบาลที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกฯ แม้จะยังไม่มีความชัดเจนจนเป็นที่ยอมรับในผลงาน มิหนำซ้ำนับวันปัญหา “สารพัดของแพง” ก็จะยิ่งสร้างคำถามและความนิยมให้กับรัฐบาลมากขึ้น แต่ด้วยการวางยุทธศาสตร์ที่เน้นการ “อยู่ห่าง” ทางการเมือง ประกอบกับรูปลักษณ์ที่สวยงาม อย่างน้อยก็ยังสร้างความรู้สึกได้ว่า ไม่เข้ามาเล่นการเมืองแต่มุ่งตั้งใจแก้ปัญหามากกว่า เพราะอย่างน้อยการไม่ได้ทำ กับการทำแล้วไม่ได้ ย่อมแตกต่างกัน

ยิ่งในรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วย ส.ส. และ ส.ว. ยิ่งชัดเจนว่า “เสียงข้างมาก” ควบคุมเบ็ดเสร็จ ดังจะเห็นได้จากการผ่านรายงานการสร้างความปรองดองแห่งชาติ หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เพื่อให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ ส.ส.ร.เพื่อมายก
ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่

ขณะที่ “เสียงข้างน้อย” แม้วันนี้จะอยู่ในฝ่ายที่ “เสียเปรียบ” แต่ด้วยจุดยืนที่ว่าต้องการสนับสนุนให้เกิดกระบวนการปรองดองเช่นกัน แต่กระบวนการนั้นต้องเป็นไปตาม “หลักการ” นั่นคือ อะไรก็ตามที่ศาลตัดสินไปแล้วต้องอยู่อย่างนั้น “ยกเลิก” หรือเปลี่ยนแปลงไม่ได้ จนกว่าผู้กระทำจะยอมรับโทษเสียก่อน

สถานการณ์วันนี้ “เสียงข้างน้อย” นอกสภาอย่างกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่นำโดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ออกมาแล้ว และมี “จุดยืน” ที่ไม่แตกต่างกัน เพียงแต่กลุ่มพันธมิตรฯ นั้นไปไกลด้วยการประกาศจะเดินหน้า “ปฏิรูปประเทศไทย” ขึ้นมาแทนที่

จำนวนมากหรือจำนวนน้อย ที่แต่ละฝ่ายมีอยู่ในวันนี้อาจจะไม่ใช่ “ตัวตัดสิน” เพราะหากมองกันให้ดี ๆ จะพบว่า ยังมี “พลังเงียบ” หรือคนส่วนมากที่พร้อมจะแสดงออกอีกจำนวนมาก หากการปรองดองนั้นเป็นการปรองดองเพียงเพื่อให้ “คนใดคนหนึ่ง” ได้รับผลหรือ “ลบล้างความผิด” ในครั้งนี้

การช่วงชิง “มวลชน” ที่อยู่ตรงกลาง จึงทำให้ทั้งสองฝ่ายเคลื่อนไหวกันอย่างคึกคัก

ที่น่าสนใจอยู่ตรงที่ว่า ตราบใดที่ยังไม่มีการออกกฎหมายปรองดอง หากใครคนหนึ่งคนใดหรือกลุ่มใดกระทำการหรือมีการชุมนุมจนถึงขั้นรุนแรงเหมือนอย่างที่ผ่าน ๆ มา และนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งอย่างใด จะเข้าเงื่อนไขนำไปสู่ความปรองดองอย่างที่ถกเถียงกันอยู่ในตอนนี้หรือไม่ และหากมีการ “เสียชีวิต” จะได้รับการเยียวยาเหมือนอย่างที่กำลังจะถูกเยียวยาอยู่ในเร็ว ๆ นี้หรือไม่

เพราะมองว่า หากการปรองดองคือเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องลืม ๆ กันไปแล้วเริ่มต้นใหม่โดยไม่สนใจที่จะค้นหาความจริงเพื่อหาทางป้องกันและแก้ไข การปรองดองก็ไม่ต่างอะไรกับเทศกาลที่ทำกันภายหลังเกิดความรุนแรงทางการเมือง

ดังนั้น ความเคลื่อนไหวของเสียงข้างมากอย่างรัฐบาลพรรคเพื่อไทย และการเคลื่อนไหวของเสียงข้างน้อยอย่างกลุ่มพันธมิตรฯ ล้วนมี “ทิศทาง” ที่ไปในลักษณะมุ่งเข้าหามวลชน เพื่อความเข้าใจ เพื่อสร้าง “ชุดข้อมูลใหม่” ให้เกิดขึ้น

ฉะนั้น “บันไดขั้นที่ 2” ของการปรองดองเพื่อนำ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงมี “ปัจจัย” ของการยอมรับจากมวลชนเป็นฐานสำคัญ

ต่างฝ่ายจึงต่างต้องแสดงท่าที โดยมี “มวลชน” ซึ่งก็คือคนส่วนใหญ่ในสังคมเป็นผู้ตัดสินว่าจะให้ “ทุกอย่าง” กลับไปก่อนเหตุการณ์วันที่ 19 ก.ย. 49 เหมือนอย่างที่ “เสียงข้างมาก” กำลังทำอยู่ในตอนนี้ หรือ ปล่อยให้ทุกอย่างเดินต่อไป แต่ควรจะต้องแยกแยะให้ได้ว่า อะไรถูกหรืออะไรผิด ใครถูกหรือใครผิด ใครควรได้รับการให้อภัย หรือใครควรได้รับการลงโทษ โดยทั้งหมดเป็นไปตามหลัก “กฎหมายไทย”

การเผชิญหน้ากันในระยะนี้ จึงเป็นแค่ ’สงครามเย็น“ เท่านั้นเอง.

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

มท.1 ห้ามตื่นแผ่นดินไหว มั่นใจระบบเตือนภัยเจ๋ง


วันนี้ (21 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  รายการ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน”ในสัปดาห์นี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีอยู่ระหว่างการเข้าร่วมประชุมลุ่มน้ำโขงที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ระหว่งวันที่ 19-22 เม.ย.นี้ได้มอบหมายให้นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย  นายวิบูลย์  สงวนพงศ์  อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย และ น.อ.สมศักดิ์  ขาวสุวรรณ์  ผอ.ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ  ออกรายการแทน มีเนื้อหาเกี่ยวกับเหตุแผ่นดินไหวในพื้นที่จ.ภูเก็ตและการเตรียมพร้อมในการรับมือเหตุแผ่นดินไหว
 
นายยงยุทธ กล่าวว่า ในส่วนของรัฐบาลไม่ตายใจและนิ่งดูดายกับเหตุแผ่นดินไหวเพราะเป็นภัยพิบัติและภัยธรรมชาติที่เราไม่ทราบล่วงหน้า รัฐบาลได้เตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมทั้งแผนปฎิบัติที่ชัดเจนให้พร้อม อย่างไรก็ตามทางวิชาการระบุว่าความจริงรถ 10 ล้อวิ่งผ่านหน้าบ้านยังหนักว่าแผ่นดินไหวที่ภูเก็ต  แต่วันนี้มีข่าวว่าดวงวิญญาณของท้าวเทพกระษัตรีและท้าวศรสุนทรมาบอกว่าวันที่ 27-28 เม.ย.นี้น้ำท่วมเกาะภูเก็ตและและประชาชนตายทั้งเกาะ  ทำให้เกิดความตื่นกลัว ดังนั้นฝ่ายปกครองจะต้องเร่งทำความเข้าใจเพื่อไม่ให้ประชาชนตื่นกลัว อย่าฟังข่าวลือ แต่ให้ขอฟังข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เท่านั้นโดยผ่านเครือข่ายการสื่อสาร
 
นายวิบูลย์ กล่าวว่า ทางกรมปภ.เน้นสร้างความรู้ด้านภัยพิบัติและการจัดทำแผนผฎิบัติการในพื้นที่ชุมชน  รวมทั้งการซ้อมอพยพ เพื่อให้ประชาชนในพี้นที่ตระหนักและเข้าใจในภัยพิบัต และให้ความร่วมมือกับภาครัฐ นอกจากนั้นแต่ละจังหวัดจะมีการบันทึกความร่วมมือกับทหารและหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องในการเข้าช่วยเหลือประชาชนตามมาตรฐานขององค์การสหประชาชาติหากเกิดเหตุภัยพิบัติขึ้น
 
น.อ.สมศักดิ์  กล่าวว่า  ขอเตือนประชาชนอย่าได้ตื่นตระหนกกับเหตุการณ์เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นเช่น ญึ่ปุ่นที่ถือว่าเป็นประเทศที่เป็นจุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหเขายังไม่ตื่นตระหนก ไทยยังห่างไกลจาการเกิดเหตุแผ่นดินใหญ่เนื่องจากรอยเลื่อนของไทยเป็นลอยเลื่อนแขนง หากจะเกิดแผ่นดินไหวสูงสุดที่ประมาณ 6 ริคเตอร์ซึ่งเป็นขนาดกลางและจะสร้างความเสียหายกับบ้านเรือนที่ไม่แข็งแรง  เหตุที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือ 4.3 ริคเตอร์และขนาดเล็ก ๆ  ตามมาถือว่าเป็นเล็กมากและไม่ได้สร้างความเสียหายเพียงแต่เกิดความรู้สึกที่รับรู้ได้เท่านั้น  ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะเป็นการคลายพลังความแรงสั่นสะเทือนที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต และเรามีการตรวจสอบตลอดเวลา ขณะนี้ไทยมีเครื่องในการตรวจวัดแรงสั่นสะเทือนที่ทันสมัยมากขึ้นซึ่งทำให้การตรวจวัดรวดเร็วชัดเจนขึ้น เป็นรองจากญี่ปุ่นและมีระบบเตือนภัยเป็นจำนวนมากอย่างที่จ.กระบี่มากกว่ามาเลยเซียทั้งประเทศ ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายให้รวมฐานข้อมูลเพื่อให้แจ้งให้ประชาชนได้รับทราบด้วยภาษาง่าย ๆ สามารถส่งข้อมูลให้กรมป้องกันฯได้ภายใน 2 นาทีและแจ้งเตือนประชาชนได้ทันเวลา
 
น.อ.สมศักดิ์ กล่าวต่อว่า  ศูนย์ฯยังหารือและประสานงานกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯอย่างใกล้ชิดและยืนยันว่าเขื่อนของเราแข็งแรงปลอดภัย  หากเกิดแผ่นดินไหว 7.5 ริคเตอ์และศูนย์กลางอยู่ที่กลางเขื่อนถึงจะส่งผลกระทบกับเขื่อน  ตั้งแต่มีเขื่อนมาเราไม่เคยเกิดเหตุการณ์อย่างนั้น และกรมทรัพยากรธรณีได้ลงไปตรวจสอบเขื่อนของชลประทานในจ.ภูเก็ตแล้วพบว่าไม่มีปัญหาอะไร  แต่ขอให้ประชาชนฝ้าระวังและตรวจสอบเขื่อนดินหรืออ่างเก็บน้ำที่ประชาชนทำขึ้นในท้องถิ่น ยันยันว่าบ้านเรายังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เหมาะสม ช่วยกันดูแล อย่าตื่นตระหนกตกใจ มีสติในการรับข้อมูลข่าวสาร

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

วิป4ฝ่ายขอพักรบ นัดถก รธน.ต่อสัปดาห์หน้า



วันนี้ (21 เม.ย.) ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมการ 4 ฝ่าย ประกอบด้วย วิปรัฐบาล วิปฝ่ายค้าน วิปวุฒิสภา และประธานคณะกรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อหารือถึงกรอบเวลาการอภิปรายหลังจากที่ประชุมร่วมรัฐสภาได้ใช้เวลาการอภิปรายไปแล้ว 6 วัน โดยภายหลังการประชุม นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า ที่ประชุมมติเบื้องต้นในวันนี้ให้มีการอภิปรายถึงเวลา 21.00 น.จากนั้นก็ประชุมอีกครั้งในวันอังคารที่ 24 -25 เม.ย. ส่วนรายละเอียดในเนื้อหาของการอภิปรายจะมีการประชุมคณะเล็กในช่วงบ่ายวันนี้ ควรจะมีการปรับปรุงแก้ไขไปจากที่คณะกรรมาธิการเสียงข้างมากให้ความเห็นพ้องไว้หรือไม่ เพื่อให้การประชุมกระชับขึ้น ส่วนการใช้เวลาอภิปรายเกินจากวันนี้ซึ่งจะกระทบกรอบเวลาเดิมในการลงมติวาระ 3 ในวันที่ 8 พ.ค.นั้น ก็ถือว่า เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและไม่สามารถประเมินได้ว่า จะมีการลงมติในวาระ 3 ได้ในวันใด

ด้านนายอุดมเดช รัตนเสถียร ประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า เบื้องต้นยังไม่มีการกำหนดวันในการลงมติวาระ 3 แต่ถ้านับตามปฏิทินหากการอภิปรายในวาระ 2 เสร็จในวันที่ 26 เม.ย. นับออกไป 15 วันก็จะสามารถลงมติวาระ 3 ได้ในวันที่  11 พ.ค. แต่วิปรัฐบาลไม่ได้เจาะจงในวันดังกล่าว หากอภิปรายเสร็จวันใดก็เป็นไปตามนั้น ซึ่งยอมรับว่า การเลื่อนวันออกไปส่งผลกระทบต่อการทำหน้าที่ของ ส.ส.ทั้งในเรื่องของการลงพื้นที่และการเดินทางไปศึกษาดูงานในต่างประเทศ แต่ผู้ใหญ่ในพรรคไม่ได้ติติงอะไรมาและรัฐบาลก็ไม่เร่งรีบหรือซีเรียสเวลาที่จะต้องทำให้เสร็จเพราะหากนับรวมแล้วมีเวลาถึง 14 เดือนในการดำเนินการจัดทำรัฐธรรมนูญ

ประธานวิปรัฐบาล กล่าวอีกว่า ส่วนที่ฝ่ายค้านเสนอให้กรรมาธิการเสียงข้างมากรับข้อเสนอ 3 ประเด็น คือ จำนวน ส.ส.ร. การไม่ใช้กฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่นเลือก ส.ส.ร.และการให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านรัฐสภาก่อนการลงประชามตินั้น ประเด็นเหล่านี้ตนไม่อยากพูดคงต้องให้ที่ตัวแทนของแต่ละฝ่ายต้องคุยกัน เมื่อถามว่า รู้สึกอย่างไรมีการมองว่าการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาราธอนกว่าที่ผ่านมา นายอุดมเดช กล่าวว่า ถ้าอยากได้เร็วก็มีแต่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเท่านั้น.

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

ชง ครม.ควัก 2,080 ล้าน จ่ายเยียวยาเหยื่อไฟใต้



วันนี้ (21 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า  ในประชุมครม.วันที่ 24 เม.ย.นี้ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรมในฐานะประธานคณะกรรมการเยียวผู้ได้รับกระทบสืบเนื่องจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้จะเสนอหลักเกณฑ์และวิธีการให้ความช่วยเหลือเยียวฟื้นฟูผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และอนุมัติงบประมาณร่ายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.2555 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นวงเงิน   2,080 ล้านบาท  โดยเป็นบุคคลที่ได้รับความเสียหายและได้รับผลกระทบในระหว่างวันที่ 1 ม.ค.2547 ถึง 7  เม.ย. 2554  แบ่งเป็น 4 กลุ่มประกอบด้วย กลุ่มแรกประชาชนทั่วไปที่ได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบและยังไม่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยาหรือได้รับการเยียวยาแล้วแต่ยังมีความเดือนร้อนไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ มีผู้เสียชีวิต  4,276 ราย บาดเจ็บ 6,058 ราย รวม 10,334 ราย  คาดว่าต้องใช้เงินช่วยเหลือประมาณ 500 ล้านบาท  กลุ่มที่  2  เจ้าหน้าที่รัฐที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือเยียวยาเสียชีวิต 1,056 ราย บาดเจ็บ 3,392  ราย รวม 4,4448 ราย และจากข้อมูลเบื้องต้นพบว่าได้รับการช่วยเหลือเยียวยาไปแล้ว 4,072 รายประกอบด้วยผู้เสียชีวิต 848 ราย บาดเจ็บ 3,224 ราย คาดว่าต้องใช้เงินช่วยเหลือ  200 ล้านบาท

กลุ่มที่ 3 ผู้ถูกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐหรือผู้ก่อเหตุรุนแรงที่เป็นเหตุการณ์เฉพาะกรณี เนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบจนเป็นเหตุให้เสียหายแก่ชีวิตหรือร่างกายหรือจิตใจ รวมถึงทรัพย์สินอันสืบเนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ ทั้งนี้จะต้องมีมูลว่าเจ้าหน้าที่รัฐได้กระทำการเกินกว่าเหตุหรือละเมิดสิทธิมนุษยชน   กรณีบังคับให้สูญหายโดยการจับกุม คุมขัง ลักพาหรือกระทำการด้วยประการใด ๆที่มีลักษณะเป็นการลิดรอนเสรีภาพ  และกรณีจากการกระทำของผู้ก่อเหตุรุนแรงที่เจ้าหน้ารัฐผู้รับผิดชอบไม่สามารช่วยเหลือได้จนเป็นเหตุให้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ  ได้แก่ เหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ  อ.เมือง อ.แม่ลาน ปัตตานี อ.สะบ้าย้อย  จ.สงขลา อ.กรงปินัง จ.ยะลาเมื่อวันที่ 28 เม.ย.2547 มีผู้เสียชีวิต 111 ราย บาดเจ็บ  28 ราย  เหตุการณ์ตากใบเมื่อวันที่ 25 ต.ค.2547 เสียชีวิต 85 ราย บาดเจ็บ  46 ราย  คาดว่าต้องใช้เงินช่วยเหลือ 1,000  ล้านบาท

กลุ่มที่ 4 บุคคลที่ถูกควบคุมตัวหรือถูกคุมขัง หรือถูกดำเนินคดีเป็นผู้ต้องหาหรือเป็นจำเลย และถูกควบคุมตัวหรือคุมขังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาโดยไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว  ต่อมาปรากฏหลักฐานว่าไม่ได้กระทำความผิด มีการถอนฟ้อง หรือคำพิพากษายกฟ้อง คาดว่าต้องใช้เงิน  300 ล้านบาท   นอกจากนั้นอีก 80 ล้านบาทเพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง พิสูจน์ทราบและรับฟังปัญหาความเดือดร้อน ความต้องการของผู้ที่ได้รับความเสียหาย และผลกระทบเป็นรายบุคคลและครัวเรือน รวมทั้งจัดเวทีสาธารณะเพื่อรับฟังความคิดเห็นและทำความเข้าใจ

สำหรับหลักเกณฑ์และวิธีการให้ความช่วยเหลือเยียวยาฟื้นฟูผู้เสียหายและได้รับผลกระทบจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามระเบียบคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.)  ว่าด้วยการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ขอบรัฐอันสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2555  เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนเฉพาะกรณี โดยเห็นควรช่วยเหลือเยียวยาเพิ่มเติมอีกไม่เกิน  7 ล้านบาท  โดยกำหนดหลักเกณฑ์เงื่อนไขการจ่าย ดังนี้ 1. ช่วยเหลือเยียวยา รายละ 3 ล้านบาท และ 2. ช่วยเหลือเป็นเงินออมระยะยาว เช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือตั๋วเงินธนาคารในวงเงินอีกรายละ 4 ล้านบาท โดยจ่ายเป็นรายปี ปีละ 1 ล้านบาท เพื่อใช้ทุนตั้งต้นในการประกอบอาชีพ หรือใช้ประโยชน์เพื่อการศึกษาแก่บุคคลในครอบครัวผู้เสียชีวิตและทายาท หรือประโยชน์อื่น เช่น อุปการะบุตรหรือการประกอบพิธีฮัจญ์

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

ปชป.ชนะเพื่อไทย เลือกซ่อม ส.ส.ปทุมฯเขต 5



วันนี้ (21 เม.ย.) เวลา 18.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการนับผลคะแนนการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการของผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร (ส.ส.) เขต 5 จ.ปทุมธานี ว่า มีประชาชนจำนวนมากเดินทางมาติดตามผลการนับคะแนนในครั้งนี้ โดยผู้สมัครเบอร์ 1 นายสมชาย รังสิวัฒนศักดิ์ จากพรรคเพื่อไทย ได้คะแนนอย่างไม่เป็นทางการ จำนวน 24,119 คะแนน ดร.เกียรติศักดิ์ ส่องแสง ผู้สมัครเบอร์ 2 จากพรรคประชาธิปัตย์ ได้ 27,981 คะแนน และนายณรงค์ชัย ปัญญานนทชัย ผู้สมัครเบอร์ 3 จากพรรคไทยมหารัฐพัฒนา ได้ 347 คะแนน ทำให้ดร.เกียรติศักดิ์ ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ทำคะแนนทิ้งห่างนายสมชาย จากพรรคเพื่อไทย ไปกว่า 3,000 คะแนน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แหล่งข่าวแกนนำคนเสื้อแดง จ.ปทุมธานี รายหนึ่งเปิดเผยว่า สาเหตุที่นายสมชาย พ่ายแพ้ต่อนายดร.เกียรติศักดิ์นั้น เนื่องจากที่ผ่านมาประชาชนชาว อ.ลำลูกกา ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งโดยเฉพาะคนเสื้อแดงลำลูกกาที่มีจำนวนมาก ไม่มีใครรู้จักนายสมชาย ประกอบกับนายสมชายมีเวลาในการหาเสียงน้อยมากหากเทียบกับดร.เกียรติศักดิ์ที่ลงพื้นที่หาเสียงมาอย่างต่อเนื่องในช่วงน้ำท่วมและประชาชนก็ได้เห็นผลงานมาโดยตลอด นอกจากนี้ในช่วงวิกฤติมหาอุทกภัยเมื่อปลายปี 54 ที่ผ่านมา ไม่เคยเห็น ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยลงมาดูแลความเดือดร้อนของชาวบ้านว่าได้รับความลำบากมากเพียงใดในช่วงเวลาดังกล่าว คาดว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้อย่างย่อยยับในครั้งนี้.

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

บึ้มสนั่นกลางกรุงมือมืดปาระเบิด-ยิงถล่มร้านขายยางตาย2สาหัส3





คนร้ายสุดเหิมเกริมยิงถล่ม-ปาระเบิดใส่ร้านขายยางย่านฝั่งธน มีผู้เสียชีวิตในจุดเกิดเหตุ 2 ศพ บาดเจ็บสาหัส 3 ราย ตำรวจคาดเป็นแก๊งเด็กแว้นไม่พอใจถูกกลุ่มคนตายคนเจ็บตะโกนด่าสร้างความเดือดร้อนรำคาญ
วันนี้ (21 เม.ย.) เวลา 23.00 น. ร.ต.อ.ภาณุรัตน์ คิดนอก พนักงานสอบสวน สน.เพชรเกษม ได้รับแจ้งมีเหตุยิงกันและปาระเบิดที่ร้านดำรงโฟม ถนนกัลปพฤกษ์ตัดถนนกาญจนภิเษก แขวงและเขตบางแค มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย จึงเดินทางไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่มูลนิธิปอเต็กตึ๊ง
ที่เกิดเหตุเป็นร้านขายยางสำเร็จรูป พบศพนายโจอี้ สายดง อายุ 36 ปี และนายนาจ ไม่ทราบนามสกุล นอนเสียชีวิตอยู่ที่พื้นหน้าร้าน ถูกสะเก็ดระเบิดมีบาดแผลทั่วร่าง ใกล้กันพบรถยนต์อีซูซุ รุ่นมิวเซเว่น ทะเบียน 3179 มีร่องรอยถูกอาวุธปืนยิงได้รับความเสียหาย ใกล้กันพบรอยระเบิดที่พื้นถนนลึก 5 ซม. นอกจากนี้มีผู้บาดเจ็บ 3 ราย ทราบชื่อนายดำรง อุดมพร อายุ 58 ปี เจ้าของร้าน นายสมบูรณ์ สีมอ อายุ 55 ปี และนายเด่น ไม่ทราบนามสกุล ถูกนำส่งโรงพยาบาลใกล้เคียงไปก่อนหน้า
จากการสอบสวน น.ส.อริศา สายดง ลูกสาวผู้ตาย ให้การด้วยอาการยังไม่หายตกใจว่า ก่อนเกิดเหตุกลุ่มคนตายได้นั่งดื่มสุรากันอยู่ภายในร้าน ระหว่างนั้นได้มีกลุ่มวัยรุ่นขับรถ จยย.ผ่านมา จู่ๆ ตนได้ยินเสียงปืนและเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว จากนั้นสักพักจึงรีบวิ่งมาดูก็พบพ่อตน รวมทั้งกลุ่มเพื่อนถูกสะเก็ดระเบิดได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตอยู่ที่พื้น จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาตรวจสอบ
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า ผู้ก่อเหตุน่าจะเป็นกลุ่มเด็กแว้นที่มักจะมาขี่รถประลองความเร็วที่บริเวณ ดังกล่าว โดยกลุ่มผู้ตายอาจตะโกนด่าที่มาก่อความรำคาญ ทำให้กลุ่มเด็กแว้นไม่พอใจ ย้อนกลับมาใช้อาวุธปืนยิงและปาระเบิดถล่มใส่จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลาย ราย อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งสอบสวนหาสาเหตุที่แน่ชัดอีกครั้งว่า มาจากเรื่องใดแน่ เพื่อติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป.

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

สาวโกนหัวไม่ได้บวชชี คลั่งคว้ามีดอีโต้ไล่ฟันพระ










สาวโกนหัวคลั่ง หลังเครียดไม่ได้บวชเป็นชีแถมถูกพระไล่ออกจากวัด จึงคว้ามีดอีโต้ไล่ฟันพระกระเจิง เจ้าหน้าที่ต้องกล่อมจะพาไปบวชวัดอื่นถึงยอมสงบ
เมื่อเวลา 19.00 น. วันนี้ (21 เม.ย.) ร.ต.อ.อาคม  บุญหลง ร้อยเวรสภ.ห้วยโป่ง จ.ระยองรับแจ้งเหตุคนคลุ้มคลั่ง ใช้มีดไล่ฟันพระในวัดชากลูกหญ้า เขตเทศบาลเมืองมาบตาพุด ต.ห้วยโป่ง อ.เมือง จ.ระยอง ไปตรวจสอบพบสาวโกนหัว ใส่ชุดห่มขาวแต่งตัวคล้ายแม่ชี นั่งอยู่บนเก้าอี้มือถือมีดอีโต้ ส่งเสียงเอะอะโวยวาย ใต้ถุนอาคารเปรียญวัด เจ้าหน้าที่จึงเกลี้ยกล่อม ใช้เวลากว่า 30 นาที จึงยอมปล่อยมีดโดยไม่มีใครได้รับอันตราย
สอบสวนทราบว่า สาวคลุ้มคลั่งชื่อ น.ส.ณัฎฐัญดาพร แก้วกล้า อายุ 41 ปี อยู่บ้านเลขที่ 52/79 หมู่ 4 ต.เขาลูกช้าง อ.เมือง จ.สงขลา โดยอ้างว่า ครอบครัวเสียชีวิตจากเหตุความไม่สงบภาคใต้ เหลือตัวเองเพียงลำพัง จึงเดินทางมาอยู่ จ.ระยอง ก่อนหน้านั้นเป็นคนจูงมือคนตาบอดไปร้องเพลงตามร้านอาหารต่าง ๆ และมีปัญหากับสมาชิกจึงแยกตัวออกมาอยู่วัดชากลูกหญ้าตั้งแต่เดือน มี.ค.ที่ผ่านมา โดยพักอยู่ศาลาวัด  พระลูกวัดจึงบอกให้ น.ส.ณัฎฐัญดาพร บวชเป็นแม่ชี เจ้าตัวจึงโกนหัวใส่ชุดขาวโดยไม่ผ่านพิธีการบวช เพราะที่วัดไม่มีพระอุปัชฌาย์ และไม่รับแม่ชีเกรงจะมีปัญหาเรื่องชู้สาวในวัด จึงบอกให้ย้ายไปอยู่ที่อื่น จนเจ้าตัวเกิดความเครียดถึงขั้นคลุ้มคลั่ง วิ่งไปเอามีดมาไล่ฟันพระในวัดจนกระเจิง พร้อมตะโกนต่อว่ารับปากให้บวชแล้วให้ไปอยู่ที่วัดอื่น  
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่เกลี้ยกล่อมพร้อมกับรับปาก น.ส.ณัฎฐัญดาพรว่า จะพาไปบวชชีที่วัดตาขัน อ.บ้านค่าย ซึ่งวัดดังกล่าวรับบวชแม่ชี น.ส.ณัฎฐัญดาพรจึงมีอาการสงบลงจนยอมปล่อยมีด

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th