วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2555

สธ.ลงนามประกาศยกระดับยาหวัดสูตร"ซูโดฯ"เป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภท2


เมื่อเวลา 18.00 น. วันนี้ (2 เม.ย.) นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข กล่าวถึงกรณีการออกประกาศยกระดับซูโดอีเฟดรีนเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 2 ว่า ในวันนี้ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เสนอประกาศมาแล้ว โดยทาง นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้รายงานให้ทราบแล้ว แต่เนื่องจากตนติดภารกิจที่ต่างจังหวัดเพิ่งกลับมาถึงกรุงเทพฯ ดังนั้นจึงยังไม่ได้ลงนามในประกาศดังกล่าว และยังไม่ได้ดูรายละเอียด คาดว่าจะเป็นวันที่ 3 เม.ย.น่าจะลงนามได้ ส่วนจะมีผลบังคับใช้ทันทีหรือไม่ขอดูรายละเอียดก่อน คือการประกาศจะต้องไม่กระทบกับคนที่ครอบครองอยู่ในขณะนี้ อาจมีเวลาให้เตรียมตัว
 
ด้าน นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการ อย. กล่าวว่า สำหรับประกาศที่เสนอต่อ รมว.สาธารณสุข จะให้มีผลบังคับใช้ทันทีหลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา อย่างไรก็ตามจะมีการอนุโลมให้ใช้ยาแก้หวัดที่มีส่วนผสมของซูโดอีเฟดรีนไปประมาณ 1 ปี ทั้งนี้อย่าลืมว่ายาที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนประกอบไม่ได้มีเฉพาะ 3 สูตรที่มีปัญหาเท่านั้น ดังนั้นทาง อย.จะมาพิจารณากันอีกครั้งว่า ยาสูตรต่างๆ ที่มีซูโดอีเฟดรีนนั้นจะให้เหลือกี่สูตร ต้องมีการทบทวนอีกครั้ง
 
ส่วน รศ.นพ.ภาคภูมิ สุปิยพันธุ์ ประธานราชวิทยาลัยโสต ศอ นาสิกแพทย์ แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการละเลยในการควบคุมยาแก้หวัดสูตรผสมซูโดอีเฟดรีน จนทำให้มีคนบางกลุ่มนำไปเป็นสารตั้งต้นในการผลิตสารเสพติด แต่เมื่อเรารู้และมีการควบคุมที่เข้มงวดขึ้นก็น่าจะแก้ปัญหาตรงนี้ได้ ส่วนตัวเห็นว่ากระทรวงน่าจะออกกฎในการควบคุมการใช้น่าจะดีกว่า ถ้าหากยกเลิกการใช้ยาตัวนี้ไปเลย เพราะขณะนี้น่าจะเรียกได้ว่ายาแก้หวัดที่มีส่วนผสมของซูโดอีเฟดรีนเป็นยาที่มีประสิทธิภาพที่ใช้มานานกว่า 30-40 ปีแล้ว และตอนนี้ก็ยังไม่มีตัวยาใดมีประสิทธิภาพเทียบเท่า อย่างเฟนิลเอฟรินจะมีฤทธิ์อ่อนกว่า อยู่ได้ไม่นานทำให้ผู้ป่วยอาจจะต้องรับประทานยาบ่อยขึ้น
 
“เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจรัฐบาลเช่นเดียวกัน ดังนั้นหากจะประกาศยกเลิกการใช้ยาแก้หวัดสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนจริงๆ ก็สามารถยอมรับได้ หากยาตัวนี้จะจากเราไปจริงๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีเหตุผลอื่นๆ ด้วยหรือไม่เพราะผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการบ้านการเมืองเท่าไหร่ และก็เชื่อว่าหมอทุกคนยอมรับได้แม้จะมีผลกระทบกับคนไข้และวิชาชีพ และคงต้องค้นหายาตัวใหม่ขึ้นมาทดแทน แต่คงไม่ใช่เร็วๆ นี้แน่” นพ.ภาคภูมิ กล่าวและว่า แต่หากยังสามารถใช้ได้และมีการควบคุมที่ดี คนไข้ยังสามารถเข้าถึงได้ตามความต้องการของโรค ก็น่าจะเป็นทางสายกลางที่ดีกับทุกฝ่าย

แหล่งที่มา : www.dailynews.co.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น