วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

บุกจับกลางป่าทับลานลักลอบตัดพะยูงมูลค่ากว่า1ล้าน ขบวนการตัดไม้30คนหนีกระเจิง






เพียงคนเดียวพร้อมไม้ของกลาง
เมื่อเวลา 11.00 น.วันี้ที่ (29 พ.ค.) นายประพัฒน์พงษ์ สุขุประการ หัวหน้าเขตการจัดการอุทยานแห่งชาติทับลานที่ 3 (คลองน้ำมัน) บ้านมาบกราด ต.โคกกระชาย อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา พร้อมด้วย พ.ต.อ.ชุ่มวัฒน์ รัตน์อาภา ผกก.สภ.ครบุรี  และ พ.ต.ท.ไท สกุลสันติรักษ์ หัวหน้าชุดเฉพาะกิจป้องกันปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับป่าไม้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของกองกัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 นำกำลังตำรวจ  และเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติ เข้าตรวจพื้นที่ ที่เขตการจัดการอุทยานแห่งชาติทับลาน ที่ 3 ( คลองน้ำมัน ) บ้านมาบกราด ต.โคกกระชาย อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา หลังจากสามารถ จับกุมขบวนการลักลอบตัดไม้พะยูงภายในเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน ขณะกำลังตัตต้นไม้ และเตรียมที่ลำเลียงออกจากป่า โดยขบวนการลักลอบตัดไม้  ลงมือตัดไม้ที่  บริเวณป่าเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิโลเมตรที่ 17 ในเขต ต.โคกกระชาย อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา ซึ่งสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 1 ราย พร้อมของกลางหลายรายการ

ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุม  คือ นายสิทธิศักดิ์ ส่องกระโทก อายุ 26 ปี บ้านเลขที่ 139 บ้านมาบกราด หมู่ที่ 22 ต.โคกกระชาย อ.ครบุรี  โดยยึดของกลางเป็นไม้พะยูงต้นขนาด 3 คนโอบความสูงประมาณ 30 เมตร อายุกว่า 100 ปี ซึ่งถูกตัดออกเป็นท่อนๆแล้ว 3 ท่อนเตรียมที่จะทำการแปรรูปเพื่อขนย้ายออกจากพื้นที่ ซึ่งมีมูลค่าในตลาดซื้อขายกว่า 1.5 ล้านบาท   นอกจากนี้ยังตรวจยึดพร้อมอาวุธสงครามปืนอาก้า 1 กระบอก เลื่อยยนต์ 1 ชุด พร้อมอุปกรณ์ประกอบการขนย้ายไม้อีกจำนวนมาก

การจับกุมครั้งนี้  สืบเนื่องจาก ก่อนหน้า  เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติ สืบทราบมา มีขวนการลักลอบตัดไม่พะยูง  ในพื้นที่ดังกล่าว  จึงกระจายกำลัง  เดินเท้าเข้าตรวจหา จนพบผู้ขบวนการลักลัอบตัดไม้คาดว่ามีประมาณ 30 คน  กำลังลักลอบตัดไม้ บริเวณป่าเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิโลเมตรที่ 17 อุทยานแห่งชาติทับลาน ในท้องที่ ต.โคกกระชาย อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวจับกุม  กลุ่มคนร้ายจึงวิ่งหนีแตกกระเจิงคนละทิศละทาง ก่อนที่เจ้าหน้าที่อุทยานแห่ชาติทับลานจะสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้  1 คนคือ นายสิทธิศักดิ์  จากนั้นจึงควบคุมมาสอบสวนขยายผล และรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ ก่อนที่จะเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ ดังกล่าว

จากการสอบสวนนายสิทธิศักดิ์ให้การรับสารภาพว่า ได้ร่วมกับเพื่อนๆในหมู่บ้านซึ่งมีประสบการณ์ในการแปรรูปไม้อีก 10 คน  รับจ้างตระเวนสำรวจป่าภายในเขตอุทยานแห่งชาติทับลานเพื่อตัดไม้พะยูง  โดยได้รับจากว่าจ้างจาก  เพื่อนบ้านในหมู่บ้านเดียวกันที่ว่าจ้างให้เข้าตัดไม้พะยูงต้นดังกล่าว โดยมีคนชี้เป้าไว้ก่อนแล้ว ซึ่งกลุ่มของนายสิทธิศักดิ์ มีหน้าที่ตัดไม้พะยูง และแปรรูป  ก่อนที่จะมีคนอีกกลุ่มประมาณ 19 คน  ที่มีหน้าที่มาช่วยลำเลียง เป็นช่วง ๆ เพื่อนำออกจากป่า  และเฝ้าเส้นทางดูต้นทางให้ โดยใช้วิทยุสื่อสารในการติดต่อสือสาร แต่เนื่องจากเจ้าหน้าที่เดินทางเข้ามาจึงไม่มีใครแจ้งและถูกจู่โจมเข้าจับกุมดังกล่าว

จากการสอบถามนายสิทธิศักดิ์ บอกอีกว่า ลักลอบตัดไม้พะยูงมาแล้ว 3 ครั้ง  ได้ค่าจ้างคนละประมาณ 2-3  หมื่นบาท แล้วแต่ขนาดของไม้โดยมี นายศราวุธ (ขอสงวนนามสกุล) เป็นผู้ว่าจ้าง ซึ่งน่าจะมีคนมารับซื้อต่ออีกทอดซึ่งไม่ทราบว่าเป็นใคร  จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงเค้นสอบ  จนนายสิทธิศักดิ์  ให้ข้อมูลกลุ่มลักลอบตัดไม้ที่เข้าก่อเหตุด้วยกันทั้งหมด 11  คน  ส่วนที่เหลือที่เป็นเครื่อข่ายที่เข้าร่วมอีก 19 คน  นั่น มีคนพามาร่วมสมทบทำงานด้วยจึงไม่ทราบว่าเป็นใครมาจากไหนบ้าง ซึ่งเจ้าหน้าที่จะได้ติดตามจับกุมมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ขณะที่นายสิทธิศักดิ์ ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุม ถูกแจ้งความดำเนินคดีรวม 5 ข้อกล่าวหาหลัก คือ 1.ร่วมกันกระทำผิด พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 มาตรา 16 ( 2 ) ฐานเก็บหานำออกไป หรือกระทำด้วยประการใดๆ ให้เป็นการเสื่อมสภาพซึ่งป่าไม้ , 2. พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 11 ฐานทำไม้หวงห้ามใดยไม่ได้รับอนุญาต , 3. พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14 ห้ามมิให้บุคคลใดทำไม้เก็บหาของป่า หรือทำด้วยประการใดๆให้เป็นการเสื่อมสภาพป่าสงวนแห่งชาติ , 4. พ.ร.บ.อาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ และ 5. พ.ร.บ.เลื่อยโซ่ยนต์ พ.ศ.2535 มาตรา 4 ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฏหมาย ส่วนผู้ร่วมขบวนการทั้งหมดเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบตัวทั้งหมดแล้ว และกำลังอยู่ในระหว่างการติดตามตัวมาดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป

ส่วนสถานการณ์การลักลอบตัดไม้ในพื้นที่ดังกล่าว  พบว่า ในเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน พื้นที่อำเภอครบุรี รวมถึงพื้นที่อำเภอเสิงสาง จ.นครราชสีมา ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติทับลาน ได้ประสานการทำงานร่วมกันเข้าจับกุมได้แล้วรวม 15 ครั้ง สามารถยึดของกลางได้มูลค่ารวมกว่า 40 ล้านบาท ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ยังพยายามที่จะประสานงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนในพื้นที่เพื่อเฝ้าระวังและติดตามพฤติกรรมของขบวนการเหล่านี้อย่างเข้มงวดต่อไป.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น