
“ชูวิทย์”อัด “บิ๊กบัง”เละ ทำนายอนาคต โดน “ทักษิณ”ถีบหัวส่งเหมือนคนเสื้อแดง ขย่มซ้ำต่างตอบแทนคนการเมือง แนะจับตางบทหารปี 56
วันนี้ (26 พ.ค.) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค และส.ส.ระบบัญชีรายชื่่อพรรครักประเทศไทย กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญปรองดอง ยื่นร่างพ.ร.บ.ปรองดองเข้าสภา ซึ่งมีเนื้อหาสาระเพื่อล้างคดีให้กลุ่มบุคคลต่างๆ ว่า เป็นขบวนการที่ทำเพื่อผลประโยชน์ต่างตอบแทน ที่พล.อ.สนธิ ยอมเปลืองตัวรับหน้าเสื่อเป็นประธานคณะกรรมธิการปรองดองฯ มีนายวัฒนา เมืองสุข รองประธานกรรมาธิการปรองดอง ซึ่งเป็นตัวแทนกลุ่มทุนในพรรคเพื่อไทยกลุ่มหนึ่ง ที่รับหน้าที่ประสานงานกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาโดยตลอด แม้เจ้าตัวจะปฏิเสธแต่คนในวงการเมืองเขาต่างรู้เรื่องนี้ดี และเมื่องานสำเร็จ พรรคเพื่อไทยก็มอบตำแหน่งกรรมาธิการงบประมาณปี 56 ให้
“ซึ่งเมื่อเข้าไปแล้ว มีความพยายามที่จะตั้งอนุกรรมาธิการขึ้นใหม่อีกชุดคือ ชุดทหารที่คุมงานกลาโหมของกองทัพทั้งหมดเป็นอนุฯชุดที่ 8 เดิมคาดว่าจะตั้งให้พล.อ.สนธิเป็นประธาน แต่เมื่อมีข้อมูลออกเป็นข่าว ก็อาจจะคลาดเคลื่อนไม่ให้มันชัดเจนมากไป แต่ฟันธงว่า สุดท้ายพล.อ.สนธิจะเป็นหนึ่งในคณะอนุกมธ.ทหารในกมธ.งบปี 56 เพราะที่ผ่านมา เมื่อมีการพิจารณางบประมาณของกองทัพ ไม่เคยมีส.ส.หน้าไหนกล้าตัดงบทหาร แต่ปีนี้คาดการณ์ได้ว่าจะมีการตัดงบลง เพื่อเคาะกะลา ฝ่ายหนึ่งเป็นทหารลูกน้องเก่า อีกฝ่ายหนึ่งเป็นพ่อค้าอาวุธ ล้วนคนคุ้นหน้า เข้าตำราวัวเคยขาม้าเคยขี่รู้ทางกันดี ทางการเมืองพูดแค่นี้คงเข้าใจว่า ทำไมต้องได้เป็นกมธ.งบ 56” นายชูวิทย์ กล่าว
นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า วันหนึ่งพล.อ.สนธิ ก็จะถูกถีบส่งแบบเดียวกับกรณีคนเสื้อแดง ซึ่งทางรัฐศาสตร์เรียกการขับเคลื่อนของมวลชนนี้ว่า โพลิติเคิล แมชชีน หรือเครื่องจักรทางการเมือง ที่นักการเมืองต่างใช้เครื่องมือนี้ในยามที่ไม่สามารถใช้กระบวนการทางสภาได้ ซึ่งเกิดขึ้นแล้วกับคนเสื้อแดง เพราะเมื่อมวลชนเติบโตจนคุมไม่ได้ ระบบมันรวนก็ต้องตัดออก มันก็เข้าตำรา เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล วันนี้พ.ต.ท.ทักษิณไม่ต้องใช้คนเสื้อแดงแล้วหันมาใช้กระบวนการทางสภาเพราะมีเสียงส.ส.ในมือ มีน้องสาวเป็นนายกฯ ทำได้ทุกอย่างแม้กระทั่งชงเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ
นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า ตนยังเชื่อว่าที่สุดกระบวนการปรองดองจะผ่านไปได้ โดย 1.ในส่วนที่เป็นคดีความทั้งในส่วนของการชุมนุมของสีต่างๆ จะไม่เกิดความรุนแรงเพราะสังคมไทยเบื่อหน่ายกับความไม่สงบในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาซึ่งบอบช้ำมาก 2. คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับพ.ต.ท.ทักษิณ อ่อนแรง ขาดผู้นำ คนที่เคยต่อต้านอยู่ในภาวะช็อค และ 3. ในการตั้งม็อบ จัดมวลชนต้องใช้ทุน เวลานี้ ไม่มีเจ้าภาพที่กล้าทุ่มทุนอีกแล้ว เพราะมีตัวอย่างให้เห็น ดังนั้นเมื่อขาดคน ขาดแรง ขาดทุนก็ไม่เกิดแรงต้านจนถึงขั้นปะทะอย่างอดีต แต่น่าสนใจว่าในส่วนของมาตรา 3 ที่ระบุถึงคดีที่ศาลมีคำสั่งพิพากษาไปแล้ว ให้มีผลเสมือนไม่เคยมีผลตัดสินวินิจฉัย เขียนแบบนี้อันตรายเพราะไปลดทอนอำนาจของสถาบันตุลาการ เป็นการจงใจทำลาย 1 ใน 3 เสาหลักของระบอบประชาธิปไตยของชาติไทย จะเป็นปัญหา ไม่รู้ว่าคนที่เขียน เขียนไปเอาใจนายมากไปโดยไม่ดูสภาพความเป็นจริง เรียกได้ว่าเข้าสู่ยุค “บริหารนิติบัญญัติภิวัฒน์ข่มฆ่าตุลาการ” เพราะก่อนหน้านี้เคยมียุค “ตุลาการภิวัฒน์” มาจัดการกับพ.ต.ท.ทักษิณไปแล้วแต่ไม่สำเร็จ ก็ถูกเอาคืนบ้าง ซึ่งเรื่องนี้น่าเป็นห่วงที่สุดว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ต้องดูกันต่อไป..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น