วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

“ชูวิทย์”อัด “บิ๊กบัง”เละ เชื่อ อนาคตโดน “ทักษิณ”ถีบหัวส่งเหมือนคนเสื้อแดง





“ชูวิทย์”อัด “บิ๊กบัง”เละ ทำนายอนาคต โดน “ทักษิณ”ถีบหัวส่งเหมือนคนเสื้อแดง ขย่มซ้ำต่างตอบแทนคนการเมือง แนะจับตางบทหารปี 56
วันนี้ (26 พ.ค.) นายชูวิทย์  กมลวิศิษฏ์  หัวหน้าพรรค และส.ส.ระบบัญชีรายชื่่อพรรครักประเทศไทย  กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.สนธิ  บุญยรัตกลิน  ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญปรองดอง ยื่นร่างพ.ร.บ.ปรองดองเข้าสภา ซึ่งมีเนื้อหาสาระเพื่อล้างคดีให้กลุ่มบุคคลต่างๆ ว่า  เป็นขบวนการที่ทำเพื่อผลประโยชน์ต่างตอบแทน ที่พล.อ.สนธิ ยอมเปลืองตัวรับหน้าเสื่อเป็นประธานคณะกรรมธิการปรองดองฯ มีนายวัฒนา เมืองสุข รองประธานกรรมาธิการปรองดอง ซึ่งเป็นตัวแทนกลุ่มทุนในพรรคเพื่อไทยกลุ่มหนึ่ง ที่รับหน้าที่ประสานงานกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาโดยตลอด แม้เจ้าตัวจะปฏิเสธแต่คนในวงการเมืองเขาต่างรู้เรื่องนี้ดี และเมื่องานสำเร็จ พรรคเพื่อไทยก็มอบตำแหน่งกรรมาธิการงบประมาณปี 56 ให้

“ซึ่งเมื่อเข้าไปแล้ว  มีความพยายามที่จะตั้งอนุกรรมาธิการขึ้นใหม่อีกชุดคือ ชุดทหารที่คุมงานกลาโหมของกองทัพทั้งหมดเป็นอนุฯชุดที่ 8  เดิมคาดว่าจะตั้งให้พล.อ.สนธิเป็นประธาน แต่เมื่อมีข้อมูลออกเป็นข่าว ก็อาจจะคลาดเคลื่อนไม่ให้มันชัดเจนมากไป แต่ฟันธงว่า สุดท้ายพล.อ.สนธิจะเป็นหนึ่งในคณะอนุกมธ.ทหารในกมธ.งบปี 56  เพราะที่ผ่านมา  เมื่อมีการพิจารณางบประมาณของกองทัพ ไม่เคยมีส.ส.หน้าไหนกล้าตัดงบทหาร  แต่ปีนี้คาดการณ์ได้ว่าจะมีการตัดงบลง เพื่อเคาะกะลา ฝ่ายหนึ่งเป็นทหารลูกน้องเก่า อีกฝ่ายหนึ่งเป็นพ่อค้าอาวุธ ล้วนคนคุ้นหน้า เข้าตำราวัวเคยขาม้าเคยขี่รู้ทางกันดี   ทางการเมืองพูดแค่นี้คงเข้าใจว่า ทำไมต้องได้เป็นกมธ.งบ 56” นายชูวิทย์ กล่าว

นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า วันหนึ่งพล.อ.สนธิ ก็จะถูกถีบส่งแบบเดียวกับกรณีคนเสื้อแดง  ซึ่งทางรัฐศาสตร์เรียกการขับเคลื่อนของมวลชนนี้ว่า  โพลิติเคิล แมชชีน หรือเครื่องจักรทางการเมือง ที่นักการเมืองต่างใช้เครื่องมือนี้ในยามที่ไม่สามารถใช้กระบวนการทางสภาได้ ซึ่งเกิดขึ้นแล้วกับคนเสื้อแดง  เพราะเมื่อมวลชนเติบโตจนคุมไม่ได้ ระบบมันรวนก็ต้องตัดออก  มันก็เข้าตำรา เสร็จนาฆ่าโคถึก  เสร็จศึกฆ่าขุนพล  วันนี้พ.ต.ท.ทักษิณไม่ต้องใช้คนเสื้อแดงแล้วหันมาใช้กระบวนการทางสภาเพราะมีเสียงส.ส.ในมือ มีน้องสาวเป็นนายกฯ ทำได้ทุกอย่างแม้กระทั่งชงเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ

นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า ตนยังเชื่อว่าที่สุดกระบวนการปรองดองจะผ่านไปได้ โดย 1.ในส่วนที่เป็นคดีความทั้งในส่วนของการชุมนุมของสีต่างๆ จะไม่เกิดความรุนแรงเพราะสังคมไทยเบื่อหน่ายกับความไม่สงบในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาซึ่งบอบช้ำมาก  2. คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับพ.ต.ท.ทักษิณ อ่อนแรง  ขาดผู้นำ  คนที่เคยต่อต้านอยู่ในภาวะช็อค  และ 3. ในการตั้งม็อบ จัดมวลชนต้องใช้ทุน เวลานี้ ไม่มีเจ้าภาพที่กล้าทุ่มทุนอีกแล้ว เพราะมีตัวอย่างให้เห็น  ดังนั้นเมื่อขาดคน ขาดแรง ขาดทุนก็ไม่เกิดแรงต้านจนถึงขั้นปะทะอย่างอดีต  แต่น่าสนใจว่าในส่วนของมาตรา 3 ที่ระบุถึงคดีที่ศาลมีคำสั่งพิพากษาไปแล้ว ให้มีผลเสมือนไม่เคยมีผลตัดสินวินิจฉัย  เขียนแบบนี้อันตรายเพราะไปลดทอนอำนาจของสถาบันตุลาการ  เป็นการจงใจทำลาย 1 ใน 3 เสาหลักของระบอบประชาธิปไตยของชาติไทย  จะเป็นปัญหา ไม่รู้ว่าคนที่เขียน เขียนไปเอาใจนายมากไปโดยไม่ดูสภาพความเป็นจริง เรียกได้ว่าเข้าสู่ยุค “บริหารนิติบัญญัติภิวัฒน์ข่มฆ่าตุลาการ” เพราะก่อนหน้านี้เคยมียุค “ตุลาการภิวัฒน์” มาจัดการกับพ.ต.ท.ทักษิณไปแล้วแต่ไม่สำเร็จ  ก็ถูกเอาคืนบ้าง  ซึ่งเรื่องนี้น่าเป็นห่วงที่สุดว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ต้องดูกันต่อไป..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น